รีวิว Wolf King เจ้าชายหมาป่า ผู้ลุกขึ้นสู้จากเถ้าถ่านแห่งบัลลังก์ที่ถูกปล้น
เรื่องราวของ ‘ผู้สืบบัลลังก์ผู้ชอบธรรมที่ต้องกลับมาทวงคืนอาณาจักรของตน’ เป็นพล็อตที่คนดูคุ้นเคยจนแทบจะกลายเป็นโครงเรื่องคลาสสิกแห่งวงการบันเทิง ตั้งแต่ Hamlet ของเชกสเปียร์ ไปจนถึง The Lion King, The Northman, Aquaman, Baahubali, Game of Thrones และอีกมากมาย พล็อตนี้ถูกเล่าซ้ำแล้วซ้ำเล่าในหลากหลายเวอร์ชัน หลากหลายวัฒนธรรม และ Wolf King ของ Netflix ก็เลือกเดินตามเส้นทางนี้เช่นกัน แม้ในยุคที่หลายคนเริ่มตั้งคำถามว่าพล็อตแบบนี้ ‘น่าเบื่อหรือยัง ?’ แต่โชคดีที่ Wolf King ยังมีหลายอย่างที่น่าสนใจพอให้ติดตาม
ซีรีส์แอนิเมชันเรื่องนี้สร้างจากนิยาย Wereworld โดย Curtis Jobling และกำกับโดย Tom Brass ซึ่งเนื้อหาถูกดัดแปลงเป็นบทโดยทีมเขียนบทคุณภาพอย่าง Tim Compton, Julie Bower, Andrew Burrell, Celia Morgan และ Jobling เอง เล่าเรื่องของ Drew Ferran เด็กหนุ่มในเมืองชนบทชื่อ Motley ที่วันหนึ่งในคืนพระจันทร์นักล่า เขาเริ่มรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงในร่างกาย แม่ของเขา Tilly พยายามจะเปิดเผยความจริงเกี่ยวกับต้นกำเนิดของเขา แต่เหตุการณ์กลับพลิกผันเมื่อ เวอร์แรท บุกเข้ามาทำร้ายครอบครัว ทำให้ Drew แปลงร่างเป็นมนุษย์หมาป่าโดยไม่ทันตั้งตัว
จากนั้นเรื่องราวก็เข้าสู่การเดินทางของ Drew ที่ต้องหลบหนีผู้คนที่เคยรักและเริ่มตามหาความจริงเกี่ยวกับชาติกำเนิดของตนเอง ซึ่งพาเขาไปยังดินแดนใหม่ พบเจอกับผู้คนใหม่ ๆ และเรียนรู้ว่าเขาอาจเป็นกุญแจสำคัญในการโค่นล้มอำนาจของราชวงศ์ที่ปกครองด้วยความโหดร้าย
โลกใน Wolf King คือ อาณาจักร Lyssia แฟนตาซีที่ถูกแบ่งออกเป็นเขตต่าง ๆ ตามตระกูลสัตว์ เช่น หมาป่า สิงโต หนู หมี กวาง และฉลาม อดีตอันสงบสุขของอาณาจักรถูกทำลายลงเมื่อราชวงศ์หมาป่าถูกโค่นล้มโดยตระกูลสิงโต นำไปสู่ยุคของการปกครองด้วยความกลัวและการแย่งชิงอำนาจ โครงเรื่องอาจฟังดูคุ้นหูและไม่มีอะไรแปลกใหม่ แต่สิ่งที่ทำให้ Wolf King ยังน่าติดตามอยู่ก็คือการสร้างโลกที่ละเอียด ซึ่งซับซ้อนพอสมควรสำหรับแอนิเมชันที่ตั้งใจให้เด็กดู
แอนิเมชันของเรื่องนี้ถือเป็นไฮไลต์อย่างหนึ่ง งานภาพละเอียดมากจนสามารถนำไปเปรียบเทียบกับซีรีส์ชั้นนำอย่าง Arcane หรือ Star Wars : The Clone Wars ได้เลย แต่ละฉากเต็มไปด้วยรายละเอียด เช่น Motley ที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นเหมือนบ้าน ก่อนจะถูกกลืนด้วยความมืดจากตระกูลสิงโต Brackenholme ที่แฝงกลิ่นอายของธรรมชาติและความลึกลับ Dyrewood และ Wyrmwood ที่เหมือนฉากจากฝันร้าย รวมถึง Highcliff ซึ่งทั้งสง่างามและเยือกเย็นอย่างน่าประหลาด อีกทั้งการออกแบบตัวละครและสัตว์ประหลาดก็น่าประทับใจ โดยเฉพาะเครื่องแต่งกายของเหล่ามนุษย์สัตว์ที่สร้างความแตกต่างได้อย่างชัดเจน
แม้ว่าฉากแอ็กชันจะมีทั้งจังหวะที่ดูดีและบางช่วงที่ดูแข็ง ๆ ไปบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับทำให้เสียอรรถรส ดนตรีประกอบนั้นมีจังหวะที่เร้าใจและช่วยยกระดับฉากต่อสู้และการไล่ล่าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนบทพูดและการแสดงอารมณ์ของตัวละครนั้นก็ทำได้ค่อนข้างดี โดยเฉพาะเคมีระหว่าง Drew และ Gretchen ซึ่งเป็นอีกตัวละครสำคัญที่ทำให้เรื่องมีชีวิตชีวาขึ้นมาก
ด้านการพากย์เสียงก็เป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบที่ช่วยเสริมคุณภาพของซีรีส์เรื่องนี้ ซึ่ง Ceallach Spellman พากย์ Drew ได้อย่างมีมิติ ขณะที่ตัวละครอย่าง Vega และ Hector ที่พากย์โดย Georgia Lock และ Chris Lew Kum Hoi ต่างก็เพิ่มพลังให้กับกลุ่มตัวเอก Paterson Joseph และ Tom Rhys Harries พากย์ตัวละครฝั่งตรงข้ามได้อย่างน่าจดจำ โดยเฉพาะ Harries ที่ทำให้คิดถึง Joffrey จาก Game of Thrones ได้เลย Ralph Ineson ผู้พากย์ตัวละครสำคัญอีกตัวนั้นก็ทำหน้าที่ได้ยอดเยี่ยมเช่นเคย เสียงของเขาเต็มไปด้วยพลังและความลึกลับ
สิ่งหนึ่งที่ Wolf King ทำได้ดี คือ การไม่ลดระดับเนื้อหาให้ “เด็กเกินไป” แม้จะถูกจัดอยู่ในหมวดรายการสำหรับเด็ก แต่เรื่องนี้ไม่ได้เต็มไปด้วยมุกตลกฝืด ๆ หรือฉากตลกโปกฮาที่หยุดการเล่าเรื่องไว้กลางคัน ความขำที่มีส่วนใหญ่มาจากสถานการณ์จริง ไม่ได้ถูกยัดเยียดเข้ามาเพื่อเรียกเสียงหัวเราะจากเด็ก ๆ
ที่น่าสนใจ คือ มีการกล้าฆ่าตัวละครออกจากเรื่อง แม้จะไม่มีฉากเลือดสาดหรือความรุนแรงเกินจำเป็น แต่การเสียชีวิตของตัวละครเหล่านี้กลับส่งผลต่อพัฒนาการของเรื่องและตัวละครอย่างมีน้ำหนัก
แน่นอนว่า Wolf King ยังไม่ใช่ซีรีส์ที่สมบูรณ์แบบ มันยังคงอยู่ในกรอบของพล็อตแฟนตาซีคลาสสิกที่เราคาดเดาได้ไม่ยากและหลายจุดยังไม่กล้าฉีกออกจากสูตรเดิมมากนัก แต่ในฐานะซีรีส์แอนิเมชันสำหรับเด็กและครอบครัวที่พยายามรักษาความจริงจัง ความน่าติดตาม และคุณภาพของงานสร้างไว้ให้ดีที่สุด มันจึงเป็นหนึ่งในซีรีส์ที่ควรค่าเเก่การชมมากที่สุดในยุคนี้
<< ติดตามหนังดี ซีรีส์ดังก่อนใครได้ที่ www.uhdmax.net | www.inwiptv.org >>