slider2
slider2
previous arrow
next arrow
รีวิวซีรีส์ The 100 | นักโทษหนึ่งร้อยคนที่ถูกส่งกลับมายังโลกหลังล่มสลาย

นักโทษหนึ่งร้อยคนถูกส่งลงมาสำรวจโลกว่าสภาพอากาศดีพอแก่การอยู่อาศัยอีกครั้งหรือไม่ หลังโลกถูกมหันตภัยนิวเคลียร์ถล่มเมื่อ 97 ปีก่อน

ซีรีส์บางเรื่องก็สร้างมานาน มีหลายซีซั่นต่อเนื่อง ถูกพูดถึงกันให้ได้ยินมาหลายครั้ง แต่จนแล้วจดรอดก็ไม่เคยจิ้มเข้าไปดู แล้วมาวันหนึ่ง มันถูกพูดถึงอีกครั้งเลยได้โอกาส ขอลองดูหน่อยซิ ใช่แล้วล่ะ ซีรีส์เรื่องนั้นก็คือเรื่องเดียวกันที่คุณกำลังเปิดอ่านอยู่นี้ ‘The 100’ เรื่องราวของหนุ่มสาวที่ถูกปล่อยทิ้งลงมาจากสถานีอวกาศเพื่อสำรวจโลกที่เขาไม่เคยรู้จัก

The 100

 

เรื่องราวมันออกจะไซไฟ ขณะเดียวกัน มันก็ดูเป็นซีรีส์วัยรุ่นไปพร้อมๆ กัน ล่าสุด ก็ได้ข่าวว่ากำลังจะมีซีซันที่เจ็ดออกมาให้แฟนๆ ที่ติดตามมานานตั้งแต่ซีซันแรกในปี 2014 ได้ดูกันแล้ว ดั้งเดิมนั้นก็คงมีฉายกันทางเคเบิล CW, CBS อะไรเทือกๆ นั้น สำหรับผม มีโอกาสได้ชมจากสตรีมมิ่งเจ้า Netflix นี่แหละครับ ในช่วงเวลารอซีรีส์และหนังที่น่าสนใจอยู่

เลยได้ออกมาเป็นบทความรีวิวบทนี้ให้ได้อ่านกัน

 

เรื่องย่อซีรีส์ ‘The 100’

97 ปีก่อน หลังสงครามนิวเคลียร์ล้างโลก ดินแดนที่เคยเป็นที่อยู่ที่อาศัยของมวลมนุษย์กลายเป็นที่ที่ไม่เหมาะสำหรับมนุษย์ พวกเขาจึงเหลือเพียงกลุ่มที่ใช้ชีวิตบน ‘ดิอาร์ค’ สถานีอวกาศ เหนือโลก 97 ปีต่อมา พวกเขาพบว่าออกซิเจนกำลังจะหมดลง และซ่อมแซมไม่ทัน ปฏิบัติการยืดเวลาจึงบังเกิดขึ้น พวกเขาเลือกจะส่งมนุษย์บางส่วนลงไปยังพื้นโลก

และ 100 คนแรกที่ถูกส่งลงไปนั้น… ล้วนเป็นหนุ่มสาวที่เป็นนักโทษ

The 100

 

การส่งมนุษย์ลงไปครั้งนี้ นอกเหนือจากการซื้อยื้อเวลาบนสถานีอวกาศแล้ว อีกส่วนก็เพื่อสำรวจและทำให้มั่นใจว่า โลกได้กลับมาเหมาะกับการอยู่อาศัยของมนุษย์อีกครั้งแล้วหรือไม่ พวกเขาจึงกำชับให้ทุกคนใส่กำไลข้อมือไว้เพื่อการติดตาม แต่ทุกอย่างไม่ได้เป็นอย่างที่คิด

ยานเกิดอุบัติเหตุและไม่ร่อนลงจอดยังจุดที่กำหนดไว้ ทำให้เหล่านักโทษที่ถูกปล่อยลงมาต้องเผชิญกับเหตุยากลำบาก หนำซ้ำในกลุ่มยังมีพวกนิสัยเลวร้ายบีบบังคับให้ผู้คนยอมถอดกำไลข้อมือ และพวกเขาบางส่วนต้องออกเดินทางไปยังจุดหมายที่เก็บเสบียง แต่ก็ต้องพบบางสิ่งที่ไม่คาดคิด

100 คนนี้จะทำสำเร็จหรือไม่ พวกเขาจะติดต่อสื่อสารกับคนบนสถานีอวกาศอย่างไร หรือจะเอาตัวรอดจากภัยบนโลกที่เขาไม่รู้จักได้อย่างไร

 

รีวิวซีรีส์ ‘เดอะ 100 ฝ่าโลกมฤตยู’

ผลงานซีรีส์ที่ดัดแปลงสร้างมาจากวรรณกรรมของ Kass Morgan/แคส มอร์แกน โดยมี Jason Rothenberg/เจสัน โรเธนเบิร์ก เป็นทั้งผู้สร้างและผู้กำกับ เป็นซีรีส์ที่เริ่มถ่ายตั้งแต่ก่อนที่หนังสือเล่มแรกจะออกมา โครงเรื่องและชื่อตัวละครอาจจะเหมือนกัน แต่เห็นว่าเรื่องราวข้างในนั้นแตกต่างออกไป

เล่าเรื่องที่คาบเกี่ยวเรื่องการปกครองอยู่หน่อยๆ

ซีรีส์เล่าเรื่องราวสลับกันไปมาระหว่างบนสถานีอวกาศ ‘ดิอาร์ค’ และอีกร้อยคนบนพื้นโลก ในความรู้สึกผม การปกครองบนสถานีอวกาศนั้นมีลักษณะที่ไม่น่าไว้วางใจ โทษร้ายแรงของบนนั้นคือการประหารชีวิต ดูโหดเหี้ยมจริงจังอาจเพราะต้องการควบคุมคนให้อยู่ในกฎอย่างเคร่งครัด ที่นั่น มีทั้งทรัพยากรอันจำกัด จึงต้องการระบบการปกครองที่เข้มงวดตามไปด้วย แต่ก็เป็นเหตุให้มีความรุนแรงและการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง มีนายกรัฐมนตรีที่เป็นใหญ่สุดแต่กลับถูกยิง มีวุฒิสมาชิกที่มุ่งหวังจะยึดเอาอำนาจนั้นมาเป็นของตนแถมยังเป็นคนที่โหดเหี้ยมกว่า มีกรณีของการปิดบังประชากรด้วยเหตุผลบางอย่าง

เอาจริงๆ ก็ไม่แตกต่างมากนักกับเหตุที่เกิดขึ้นในโลกปัจจุบัน

The 100

 

พอมาถึง กลุ่มหนุ่มสาวนักโทษร้อยคนที่ถูกทิ้งส่งลงมายังพื้นโลก พวกเขาเองก็ต้องค้นหาวิถีทางในการรวมกลุ่มและปกครองกันเอง แม้ในหมู่คนที่เป็นผู้นำกลุ่ม ก็ต้องผ่านกระบวนการเรียนรู้ ประสบการณ์จะบอกหนทางในการแก้ไขเพื่อก้าวผ่านวิกฤติ

เรื่องราวในซีรีส์เรื่องนี้ จะมักจะเน้นไปที่ คลาร์ก กริฟฟิน (Eliza Taylor จากหนังเรื่อง The November Man) สาวผมบลอนด์จิตใจดีที่บางทีก็เด็ดขาด เธอเป็นลูกสาวของแม่ที่เป็นแพทย์บนดิอาร์ค กับ เบลลามี เบลค (Bob Morley) ชายหนุ่มที่ลงมือสังหารนายกรัฐมนตรีเลยหลบหนีลงมาในยานพร้อมน้องสาว ออกเทเวีย เบลค (Marie Avgeropoulos จากหนังเรื่อง 50/50, Tracers และ Jiu Jitsu) แวดล้อมด้วยตัวละครหลักที่เหลืออย่าง เรเวน เรเยส (Lindsey Morgan) สาวช่างเครื่องที่ติดตามลงมาเพราะแม่ของคลาร์กขอร้อง แต่ที่จริงเรเวนเป็นแฟนสาวของ ฟินน์ คอลลินส์ (Thomas McDonell จากหนังเรื่อง Fun Size)

เรื่องราวที่ยาวนานผ่านมาถึงซีซันที่เจ็ด แน่นอนว่า ตัวละครที่คนดูหลงรักบางตัวก็ล้มหายตายจากไปบ้างอะไรบ้าง ก็ทำใจเอาหน่อยละกัน

The 100

 

พล็อตเรื่องค่อนข้างเปิดให้เล่าอะไรต่อไปก็ได้

โลกมนุษย์ในอีก 97 ปีถัดมาที่หนุ่มสาวทั้งร้อยลงมาเป็นพวกแรกหลังโลกเผชิญภัยนิวเคลียร์นั้น ดูเป็นโลกที่เขียวชอุ่มไปด้วยแมกไม้ อากาศบริสุทธิ์สดชื่นอย่างไม่น่าเชื่อ แต่มันก็เป็นข้อดีอย่างหนึ่งที่มันทำให้คนเขียนบทสามารถจะออกไอเดียอะไรได้มากมาย มากพอจะทำให้ยิ่งสร้างยิ่งออกทะเลอย่างใครเขาว่าได้อยู่เช่นเดียวกัน

โลกใบเดิมที่ปู่ย่าตาทวดเคยอาศัยอยู่ แต่เหล่าหลานๆ ไม่เคยคุ้น เมื่อลงมาพบว่า หายใจได้เต็มปอด เหมือนจะดีที่มีชีวิตอยู่ได้ แต่ก็ต้องผจญกับอุปสรรคมากมายหลายอย่าง ทั้งต้องฟาดฟันกับผู้คนหลากความคิดและนิสัยในกลุ่มด้วยกันเอง ก็ยังเจอกับพีซและสัตว์ที่กลายพันธุ์ ต้องไปเจอภัยธรรมชาติที่ไม่คาดคิด พบกับมนุษย์ที่อาศัยอยู่บนโลกที่พวกเขาเรียกว่า กราวเดอร์ ที่ก็ไม่ได้มีอยู่เผ่าพันธุ์เดียว แถมยังต้องเผชิญหน้ากับเหล่ามนุษย์ที่เหลือจากดิอาร์คที่จะตามลงมาอีกด้วย

ยังไม่พอหรอก มันยังมีอะไรให้เล่าได้อีกเยอะเลยแหละ

The 100

 

ข้อสังเกตเล็กๆ จากเดอะ 100

ถ้าสังเกตกันก็อาจจะรู้สึกคุ้นๆ ชื่อของตัวละครหลายๆ ตัวในซีรีส์เรื่องนี้ต้องมีที่มาจากชื่อของนักแต่งนิยายวิทยาศาสตร์หลายๆ เรื่อง ไม่ว่าจะ คลาร์ก ที่มาจาก Arthur C. Clarke เวลส์ ที่มาจาก H.G. Wells ออกเทเวีย ที่มาจาก Octavia Butler และเบลลามี่ ที่มาจาก Edward Bellamy นัยว่าผู้เขียนก็คงอยากจะหยิบชื่อของพวกเขามาสดุดีไว้ในซีรีส์เรื่องเดียวกัน ส่วนตัวละครไหนในซีรีส์ที่ไม่ได้ตั้งชื่อตามนักแต่งนิยายวิทยาศาสตร์เลื่องชื่อก็คงจะเป็นเพราะมันไม่ได้อยู่ในหนังสือ แต่มีเฉพาะในซีรีส์เท่านั้น

The 100

 

ความสนุกและความไม่สนุกของซีรีส์เรื่องนี้

ในส่วนตัวละครเอง ด้วยความที่เขาจับคนร้อยคนที่ลงไปอยู่ด้วยกันแบบนั้น ต่างคนก็ต่างความคิดต่างนิสัยใจคอ การจะรวมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันมันย่อมยาก หลายครั้งก็มักจะเกิดเหตุไม่ทันคาดคิดให้เราได้ลุ้น แม้ตัวละครบางตัวจะสิ้นคิดไปบ้าง น่ารำคาญไปบ้าง ทำตัวไร้เหตุผลสิ้นดีในความคิดของเรา ผสมเคล้ารวมกับความที่ซีรีส์ก็ดูจะมีโปรดักชันในแบบซีรีส์ คือ มองเห็นว่ามันเป็นฉากที่จัดตั้งขึ้นมา ดูไม่สมจริงเท่าไหร่ ความสมเหตุผลบางจุดก็อาจจะชวนขัดใจไปบ้าง แต่เรื่องราวที่พลิกผันได้เรื่อยๆ

เพราะโครงเรื่องตั้งต้นมันเปิดกว้าง คนเขียนบทก็อาจจะใส่อะไรเข้ามาได้ตามใจนึก ก็ทำให้มันเป็นซีรีส์ที่แม้จะโปรดักชันไม่เจ๋งนัก และพฤติกรรมตัวละครชวนงุนงง ก็เรื่องราวที่ทั้งคาดถึงและคาดไม่ถึงก็พาให้ร่วมลุ้นไปกับมันได้อยู่

ผสมกับการมีตัวละครหนุ่มสาวหน้าตาดีไว้หลายคน ก็ต้องมีสักตัวที่โดนใจคุณ นั่นก็เป็นอีกจุดที่ดึงดูดชวนให้ยังอยู่กับมัน

แต่ก็นะ ยังไม่รู้เหมือนกันจะเทมันในซีซันไหนหรอก?