เมื่อพยัคฆ์ร้ายต้องกลับมาทำหน้าที่เพราะครั้งนี้ของมันโคตรแรง
ถึงเวลาที่สายลับสุดมาดเท่จะกลับมาปฏิบัติภารกิจบนจอยักษ์กันอีกครั้ง แล้วเราจะพลาดได้อย่างไร แถมครั้งนี้ยังเป็นครั้งสุดท้ายที่ นักแสดงอย่าง แดเนียล เครก จะสวมบทบาทของ 007 หลังเขาใช้เวลายาวนานกว่า 15 ปี ตั้งแต่ Casino Royale ในปี 2006 เป็นต้นมา เพื่อเป็นการสั่งลา เราจึงขออาสาเดินเข้าโรงแล้วออกมาเล่าให้ทุกท่านได้อ่านกัน กับ No Time to Die ชื่อไทยจำไม่ยากแต่ก็ไม่ง่าย พยัคฆ์ร้ายฝ่าเวลามรณะ นั่นเอง
ครั้งนี้ ผู้กำกับที่กุมบังเหียนทิศทางต่างๆ ของหนังจะเป็น Cary Joji Fukunaga คนที่เคยกำกับทั้งหนังอย่าง Beasts of No Nation (2015) และ Jane Eyre กำกับทั้งซีรีส์อย่าง Maniac และ True Detective แล้วจะไม่ให้เขาเหมาะสมที่จะมากำกับหนังสายลับอย่าง 007 ได้อย่างไรกัน
ว่าแล้วก็เริ่มกันเลยกับ เจมส์ บอนด์ ภาคที่มีความยาว 2 ชั่วโมง 43 นาที!
เรื่องย่อหนัง No Time To Die
ภาคนี้ เล่าเรื่องโดยเริ่มที่ชีวิตของสายลับ 007 เจมส์ บอนด์ (Daniel Craig จากหนังเรื่อง Knives Out, Logan Lucky และแน่นอน Skyfall) ที่ลาวงการหลังเปิดโปงองค์กรลับ Spectre ในภาคก่อน เขาหันไปมีชีวิตธรรมดาแสนสงบสุขอยู่กับคนรักอย่าง ดร.แมเดลีน สวอน (Léa Seydoux จากหนังเรื่อง The Lobster, Blue Is the Warmest Color และแน่นอน Spectre) ที่ยังคงเก็บงำความลับโคตรสำคัญบางอย่างแม้กับตัวเจมส์เอง
ขณะที่ M (Ralph Fiennes จากหนังเรื่อง The Dig, The Grand Budapest Hotel และ Harry Potter and the Deathly Hallows: Part 1) ก็ปลดเขาจากรหัส 007 และส่งต่อมันให้กับสายลับสาวผิวสีคนใหม่ นาม โนมี (Lashana Lynch จากหนังเรื่อง Captain Marvel)
แต่แล้วก็มีเหตุให้เขาต้องกลับมาเมื่อได้รับรู้ว่า มีคนขโมยข้อมูลอาวุธชีวภาพออกไปและกำลังพัฒนามันขึ้นซึ่งเป็นอันตรายใหญ่หลวงต่อชีวิตของผู้คนนับสิบล้าน
วายร้ายครั้งนี้เป็น ลุตซิเฟอร์ วาฟิน (Rami Malek จากหนังเรื่อง Bohemian Rhapsody การ์ตูนซีรีส์เรื่อง BoJack Horseman และซีรีส์เรื่อง Mr. Robot) เขาคือคนที่อดีตเกี่ยวพันกับคนใกล้ตัวของเจมส์ บอนด์ และปัจจุับน
เขาคือคนทำให้ 007 คนเดิมต้องหวนกลับมาทำหน้าที่อีกครั้ง
รีวิวหนัง 007 พยัคฆ์ร้ายฝ่าเวลามรณะ
ขึ้นชื่อว่าเป็นภาพยนตร์ภาคอำลาของ 007 และเป็นหนังเรื่องสุดท้ายที่ Daniel Craig จะรับเล่นเป็นคาแรคเตอร์นี้ ก็คงต้องจัดหนักจัดเต็มกันหน่อย เริ่มต้นจากการให้ผู้กำกับอย่าง ที่มีเครดิตจากซีรีส์ True Detective อย่าง Cary Joji Fukunaga เข้ามารับหน้าที่
เริ่มต้นได้น่าสนใจด้วยฉากแอคชันสุดมัน
หนังเปิดตัวได้อย่างอลังการ ด้วยทัศนียภาพของอิตาลี ผสานด้วยดนตรีประกอบที่รวมเอาธีมหลักคุ้นหูมาผสมกับสไตล์ดนตรีของ Hans Zimmer อลังการและชวนว้าวเกินต้าน ด้วยฉากแอคชั่นสุดตื่นตาอย่างการซิ่งมอเตอร์ไซค์ขึ้นบันไดที่โคตรสูง หรือการต่อสู้ในรถสุดเฟี้ยวที่มาอาวุธครบครัน รวมไปถึงฉายไตเติลอันสุดสวยเคล้าไปกับเพลงนำแสนเพราะจากเสียงร้องของ Billie Eilish แต่ก็น่าเสียดาย
เมื่อผ่านครึ่งเรื่องไป ฉากเหล่านั้นก็ลดน้อยถอยลงไป
หนังเริ่มหันไปเน้นหนักกับการดำเนินเรื่องมากขึ้น ซึ่งนั่นก็คงไม่ผิด เพราะในครั้งนี้ เราจะได้เห็น เจมส์ บอนด์ ในเวอร์ชันที่มีความเป็นมนุษย์มากที่สุด เขาคือสายลับที่อยากจะมีชีวิตอย่างคนธรรมดากับหญิงที่เขารัก แต่ก็ดูเหมือนพระเจ้าจะขีดเส้นไว้แล้วว่า เขาคงไม่มีวันทำเช่นนั้นได้ ต่อให้เขากับแมเดลีนรักกันมากแค่ไหน แต่โลกนี้ก็ยังมีวายร้ายตัวใหม่ๆ มาให้สุดยอดสายลับระดับพระกาฬต้องคอยกลับมาแก้ไขอยู่เรื่อยๆ
เจมส์ บอนด์ ที่มีหัวใจมากขึ้น
เจมส์ บอนด์ ในเวอร์ชันของ Daniel Craig/แดเนียล เคร็ก กลายเป็นคนที่มีจุดอ่อน มีวันที่ทำผิดพลาด มีเสียใจ มีดราม่า บ่งบอกว่าแม้เป็นพยัคฆ์ร้ายแต่ก็มีหัวใจ แถมยังมีความเท่ เคร่งขรึม และความดุดัน
ด้านตัวร้ายอย่าง ซาฟิน ดูเหมือนหนังจะปูเรื่องในช่วงต้นให้ดูมีความระทึกขวัญ หนังใส่หน้ากากให้กับตัวร้าย สร้างความลึกลับน่าหวาดหวั่นให้คนดูอยู่ไม่น้อย ก่อนจะถอดหน้ากากทิ้งไปและไม่ได้ส่งเสริมให้เกิดความน่ายำเกรงอะไรมากนัก แม้ Rami Malek จะเล่นเอาไว้ได้ค่อนข้างดีก็ตาม
องค์ประกอบที่ทำให้ No Time to Die โดดเด่นประทับใจ
หนังยังคงเต็มไปด้วยของเล่นอุปกรณ์ไฮเทคที่มาจากความอัจฉริยะของ คิว (Ben Whishaw) พลาธิการสุดเนิร์ดที่แจกให้บอนด์ได้เล่นทั้งนาฬิการะเบิดหัว เครื่องบินสุดไฮเทค และที่ขาดไม่ได้ก็คงเป็นรถยนต์คู่กาย แอสตัน มาร์ติน DB5 ที่เติมอาวุธสุดว้าวเข้าไปด้วย
ภาคนี้ เขานำตัวละครสำคัญกลับมาอย่างครบครัน นอกเหนือจากที่เขียนถึงไปแล้วก็ยังมี มันนี่เพนนี (Naomie Harris), เฟลิกซ์ ไลเทอร์ (Jeffrey Wright) คนนี้สำคัญเพราะคือคนที่ชักชวนเขาทำภารกิจลับช่วยวัลโด (David Dencik) นักวิทยาศาสตร์ที่ถูกลักพาตัวไป แล้วก็ยังมี แทนเนอร์ (Rory Kinnear), โบลเฟลด์ (Christoph Waltz)
ในภาคนี้ มีนักแสดงสาวสุดสวยที่น่าระทับใจอยู่ถึงสองคน หนึ่งคือ แมเดลีน (Léa Seydoux) ที่เป็นผู้หญิงที่หลงรักบอนด์อย่างหมดใจ แต่ในขณะเดียวกันก็ปกปิดความลับไว้ไม่ยอมเฉลยสักที เธอเป็นคนที่ใช้แววตาแสดงอารมณ์ได้ดี วินาทีทีเสียน้ำตา ทำให้ใจคนดูแทบจะสลายตามไป กับอีกคน ผู้ช่วยคนสวยของบอนด์ เป็นสายลับคนใหม่จากคิวบา เธอคือ พาโลมา (Ana de Armas จากหนังเรื่อง Knives Out และ Blade Runner 2049) ที่บู๊แหลกในชุดเปิดหลังได้สุดมันจริงๆ
นอกจากเป็นการรวมดาราสำหรับหนัง 007 เวอร์ชันใหม่นี้ไว้เพียบแล้ว ก็ยังเป็นการประสานงานระหว่างตัวเทพแห่งวงการ ไม่ว่าจะเป็นด้านดนตรีที่ได้ Hans Zimmer ด้านการกำกับภาพที่ได้ Linus Sandgren ที่เคยฝากฝีมือสุดตราตรึงไว้กับ La La Land ที่คว้าออสการ์มาครอบครอง ตลอดการรับชมจึงมักมีเสียง ‘โอ้ว..ว้าว’ ดังขึ้นในใจอยู่หลายครั้ง งานภาพเขาสวยจริงๆ
ความน่าสนใจอย่างหนึ่งของ No Time to Die ภาคนี้ คือ แม้ครึ่งหลังจะเต็มไปด้วยเรื่องราวที่มีฉากแอคชันมันระห่ำแทรกตัวอยู่น้อย แต่ก็กลับดำเนินไปอย่างไม่มีช่วงไหนน่าเบื่อ แถมฉากแอคชันหลายๆ ฉากยังดูมีความสมจริงในแบบฉบับของผู้กำกับ Cary Joji Fukunaga ฉากลองเทคหลายๆ ฉากทำได้น่าประทับใจ
ใครได้ดูบอนด์ภาคนี้คงได้เห็นหัวใจของสายลับที่สวมบทบาทโดยเคร็ก ทำให้เขากลายเป็นบอนด์ที่ไม่เหมือนเวอร์ชันไหน และนำพาคนดูให้หลงรักและเอาใจช่วยเขาไปจนสุดทาง มันอาจจะไม่ใช่ภาคที่สมบูรณ์แบบเท่าบางภาคก่อนหน้ามากนัก มันทำได้สุดยอดหลายอย่าง โดยรวมแล้วก็ยังไปไม่ถึงระดับที่จะยกให้เป็นภาคที่ดีที่สุด แต่ก็คงไม่อาจปฏิเสธถึงความน่าดูของมันไปได้