ภาคปฐมบทของหนังไซไฟอนาคตอันไกลโพ้น ที่มีสองตระกูลทำสงครามบนดาวทะเลทราย
หลังรอคอยมานาน ได้เวลาพบกับปฐมบทภาพยนตร์ไซไฟสุดอลังการที่ดัดแปลงจากนิยายขายดีชื่อเดียวกันของ แฟรงค์ เฮอร์เบิร์ต กันแล้วล่ะ Dune หนังที่ใช้ชื่อไทยแบบทับศัพท์ ดูน จากบทประพันธ์เล่มหนา กลายมาเปลี่ยนเป็นภาพเคลื่อนไหวในภาคเริ่มต้น
ผลงานการกำกับของ Denis Villeneuve เจ้าของผลงานสุดเยี่ยมอย่าง Arrival, Blade Runner 2049, Sicario, Enemy และ Prisoners ที่ใครติดตามผลงานของเขามามากกว่าสองเรื่องก็จะมองเห็นความเป็นวิลเลเนิฟในหนังได้เป็นอย่างดี ครั้งนี้ เขาได้ร่วมงานกับนักแสดงชื่อดังมากมาย
จนอยากให้หนังได้ไปต่อจนจบเสียเดี๋ยวนี้เลย
เรื่องย่อหนัง Dune
มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในอนาคตราวปี 10,191 ที่จักรวาลถูกปกครองโดยองค์จักรพรรดิที่แผ่ขยายพระราชอำนาจไปทั่ว และนี่คือ การห้ำหั่นกันระหว่างสองตระกูลใหญ่ อะเทรดิส (Atreides) และ ฮาร์คอนเนน (Harkonnen)
พอล อะเทรดีส (Timothée Chalamet จากหนัง Little Women, Lady Bird และ Call Me by Your Name) หนุ่มที่เป็นลูกของดยุคเลโท (Oscar Isaac จากหนัง Star Wars: Episode IX และ Annihilation) และเลดี้เจสสิกา (Rebecca Ferguson จากหนัง Doctor Sleep และ Mission: Impossible – Fallout) เขาเป็นทายาทของตระกูลใหญ่ ภายใต้การปกครองของจักรพรรดิ เมื่อตระกูลนี้ได้รับโองการที่สถาปนาและส่งพวกเขาไปครอบครองดาวเคราะห์ทะเลทรายนาม อาร์ราคิส (Arrakis)
ดวงดาวที่ดูแห้งแล้ง มองไปเห็นแต่ผืนทรายสุดลูกหูลูกตาเช่นนี้ แท้จริงเป็นแหล่งทำเงินมหาศาลให้กับตระกูลฮาร์คอนเนน ด้วยเพราะที่นี่มี ‘สไปซ์’ (Spice Melange) แร่ธาตุที่มีประโยชน์มหาศาลและมีสรรพคุณเป็นสารเสพติด
วันนี้ ตระกูลฮาร์คอนเนนกำลังสูญเสียพื้นที่สร้างรายได้อันมหาศาลไปให้กับอีกตระกูลหนึ่ง นั่นจึงเป็นต้นเหตุแห่งสงคราม บารอน ฮาร์คอนเนน (Stellan Skarsgård จากหนัง Avengers: Age of Ultron และ Cinderella) ผู้นำตระกูลขุนน้ำขุนนางที่กำลังสูญเสียผลประโยชน์กำลังเลือดขึ้นหน้าจัดทัพถล่มอะเทรดิสอย่างไม่ยั้งมือ
พอล อะเทรดีส คือชายหนุ่มที่มีพลังพิเศษมองเห็นนิมิตล่วงหน้าได้ ทั้งยังมีความสามารถที่ได้รับการฝึกฝนจากทั้ง เกอร์นีย์ (Josh Brolin จากหนัง Avengers: Endgame และ Deadpool 2) และดันแคน (Jason Momoa จากหนัง Sweet Girl และ Aquaman) รวมถึงวิชาคำสั่งเสียงจากผู้เป็นแม่ ชะตาของเขาจะพาไปสู่การเป็นผู้ถูกเลือกได้จริงหรือไม่ คงต้องไปดูกันเสียแต่วันนี้
รีวิวหนัง Dune
ด้วยเทคโนโลยีการสร้างภาพที่สามารถจะสร้างสรรค์อะไรก็ได้ตามใจจินตนา ทำให้ ค.ศ. นี้ถึงเวลาของการหยิบวรรณกรรมไซไฟระดับตำนานให้ออกมาเป็นหนัง และด้วยสไตล์และไอเดียของผู้กำกับอย่าง Denis Villeneuve เขาทำ ‘ดูน’ ออกมาในแบบอลังการ ยิ่งใหญ่ แต่แอบดาร์ก-ดิบอยู่ในที
จุดเริ่มต้นของสงครามที่พ่วงด้วยการเมือง
มากกว่าเพียงเรื่องของประเทศใดประเทศหนึ่ง มากกว่าเล่าเพียงโลกหนึ่งใบ แต่ขยายสเกลไปไกลเป็นทั้งกาแลกซี มันคือโลกอนาคตที่ไกลโพ้นแถมยังเกิดขึ้นบนดาวดวงไหนก็ไม่รู้ในกาแลกซี่ แม้กระนั้นมันก็ยังอิงอยู่กับไอเดียของมนุษย์ ดูนเป็นหนังที่ผสมกันทั้งไซไฟและการเมืองเข้ากันอย่างแนบแน่น แม้กาลเวลาจะผ่านไปเนิ่นนานแล้ว แต่มนุษย์ยังคงปกครองด้วยวิธีรวมศูนย์ มีผู้ยิ่งใหญ่สุดปกครองและเรียกตนเองว่าเป็นองค์จักรพรรดิ มีอำนาจสิทธิ์ขาดในการสั่งการ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องพึ่งพาบรรดาตระกูลขุนนางต่างๆ คอยเป็นไม้เป็นมือให้ และเมื่อมันเป็นเรื่องของอำนาจและผลประโยชน์ ก็ย่อมมีความขัดแย้ง
และในครั้งนี้ที่เห็นได้ชัดคือ ความขัดแย้งระหว่างสองตระกูลใหญ่บนพื้นที่แห่งผลประโยชน์… ดาวอาร์ราคิส
เรื่องราวถูกเล่าอย่างค่อยเป็นค่อยไป นัยว่าจะปล่อยให้ผู้ชมได้ซึมซับและทำความเข้าใจเรื่องราวให้ทัน ซึ่งจะว่าไปก็ไม่ได้เข้าใจยากขนาดนั้น ที่เป็นปัญหาสำหรับคนเพิ่งทำความรู้จักกับโลกแห่งดูนใหม่ๆ อย่างผม คือ การจดจำชื่อตำแหน่งที่ไม่คุ้นเคยเหล่านั้น
ในอนาคตของมนุษย์ดูเหมือนจะไม่ก้าวหน้าทางเทคโนโลยีแต่เพียงถ่ายเดียว เวทมนตร์ก็ดูเหมือนจะก้าวหน้าและถูกนำมาใช้เพื่อธำรงรักษาอำนาจด้วยเช่นกัน และตามที่มีคำทำนายว่าเอาไว้ มีแววสูงที่พอลจะกลายเป็นคนๆ นั้น ผู้ที่ถูกเลือก แต่แน่นอน เขาจักต้องถูกทดสอบเสียก่อน
เดินเรื่องสุดเนิบ วิชวลสุดเยี่ยม ดนตรีประกอบสุดยอด
สไตล์ของวีลเนิฟว์มักเดินเรื่องให้อืดๆ หน่อยแต่เต็มไปด้วยแรงผลักดัน ผู้ชมจึงอาจรู้สึกว่าหนังดำเนินไปอย่างเนิบๆ แต่ระหว่างนั้นจะมีเหตุการณ์ต้องลุ้นเกิดขึ้นระหว่างทาง ระหว่างรับชมจึงไม่ได้รู้สึกง่วงงุนแต่อย่างใด แม้มันจะยาวถึง 2 ชั่วโมง 35 นาทีก็ตาม
พักเรื่องความเนิบไปก่อน เพราะเราจะได้สัมผัสสิ่งที่สุดยอดยิ่งกว่า นั่นคือ แต่ละฉากชวนตะลึงอย่างยิ่ง ดูยิ่งใหญ่อลังการงานสร้าง องค์ประกอบภาพสวยงาม วิชวลสุดตระการตา ผมชื่นชอบดีไซน์ของยานพาหนะที่ใช้ลักษณะของแมงปอมาออกแบบ มีทั้งยาน 6 ปีก และยาน 4 ปี แถมเคลื่อนที่ด้วยการขยับปีก
นอกนั้นก็เป็นมุมกล้องที่ขับเน้นความเวิ้งว้างของทะเลทรายในมุมมองต่างๆ ออกมาอย่างงดงาม ผสานกับดนตรีประกอบของ Hans Zimmer บอกกับการมิกซ์เสียงที่เข้มข้นนั้นช่วยสร้างความรู้สึกตื่นเต้นได้มากมาย
ปูเส้นทางสู่การเป็นคนในคำทำนาย
พอล อะเทรดีส เป็นชายหนุ่มที่มีความพิเศษ มีความสามารถในการมองเห็นอนาคต เขามักจะฝันถึงหญิงคนหนึ่งบนดวงดาวอาร์ราคิสอยู่เรื่อยๆ และมองเห็นว่าอนาคตของตนเองจะได้ไปอยู่กับชาวเฟมเมน เขาจึงจำเป็นต้องเอาตัวออกไป ผู้ชมจะได้ติดตามว่า อนาคตของเขาจะเป็นเทพผู้ปลดปล่อยตามคำทำนายของนิกายโบราณหรือไม่
แต่อย่างน้อย ผู้ชมก็จะรู้ว่าชีวิตของเขากำลังมุ่งหน้าไปทางไหน
เรื่องราวอาจดำเนินไปอย่างเชื่องช้าโดยเฉพาะในช่วงแรก รายละเอียดที่ค่อนข้างเยอะถูกจัดวางมาเพื่อให้คนดูได้ทำความเข้าใจตามไปพร้อมๆ กับการเสพงานภาพอันยิ่งใหญ่ตระการตา ก่อนจะผลักคันเร่งให้ชวนตื่นเต้นขึ้นในช่วงถัดมา