หลังเคยสร้างประสบการณ์ฮือฮากันมาแล้ว ในซีซันที่หนึ่ง คราวนี้ Girl From Nowhere กลับมาสานต่ออีกครั้งในซีซันที่สอง และในเมื่อซีซันแรกนั้น นายแพทไม่ได้เขียนถึงไป คราวนี้ก็เลยได้เป็นครั้งแรกที่ได้เขียนถึง เด็กใหม่ ผลงานของ Jungka Bangkok, SOUR Bangkok ที่ครั้งแรกได้ฉายทางทีวี ผ่านมาอีกสามปีมีซีซันสองฉายลง Netflix และได้กระแสจากคาแรกเตอร์ที่ค่อนข้างแรง แถมหยิบจับเรื่องราวจริงในสังคมพูดถึงในแบบ ‘ไม่’ เรียล
โดยรวม มันเป็นซีรีส์ที่ไม่ได้ตั้งใจจะประนีประนอมอยู่ก่อนแล้ว ใส่คาแรกเตอร์ให้ตัวเอกอย่าง แนนโน๊ะ เป็นเด็กนักเรียนคนใหม่ที่มุ่งหมายเข้าไปแทรกซึมในโรงเรียนต่างๆ เพื่อกระทำตนเป็นผู้พิพากษา-ศาลเตี้ย ด้วยแนวทางแบบเบี้ยวๆ เรื่องที่อิงจากพื้นฐานความจริงแต่เล่าให้เกินจริง เกินจะเชื่อ จุดประสงค์ก็คือมุ่งหมายจิกกัดสังคม ทั้งเป็นตัวแทนผู้ถูกย่ำยีช่วยแก้แค้นเอาคืนให้สาสม
เพราะในชีวิตจริง มันทำไม่ได้แบบนั้นนั่นเอง!
เรื่องย่อซีรีส์ ‘เด็กใหม่’
มันเป็นเรื่องของ แนนโน๊ะ เด็กสาวคนหนึ่งที่ดูลึกลับ ไม่มีใครรู้ว่า เธอเป็นใคร มาจากไหนกันแน่ จู่ๆ ก็เข้ามาเป็นเด็กใหม่ในโรงเรียน เป็นสาวสวยที่มีบุคลิกมั่นใจ มักพูดจาตรงไปตรงมา แถมยังชอบเอาตัวเองเข้าไปยุ่งกับทุกเรื่องแม้แต่สิ่งที่หมิ่นเหม่และผิดศีลธรรมอย่างไม่เกรงกลัวอะไร แต่ดูแล้ว เธอน่าจะมีเหตุผลบางสิ่งบางอย่าง
แนนโน๊ะ (คิทตี้ ชิชา อมาตยกุล จากหนังซีรีส์เรื่อง The Serpent) เธอเป็นเด็กสาวที่เก่งรอบด้านจนไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเด็กสาววัยมัธยมฯ แต่เธอก็มักเป็นเด็กใหม่อยู่ตลอดเวลา เธอแว้บไปเรียนที่นั่น ที่นี่ อยู่ตลอดเวลา เธอเป็นใครกันนะ?
สิ่งที่เธอทำคือการสั่งสอนและให้บทเรียนอันเจ็บแสบและคาดไม่ถึง ซึ่งผู้ชมต้องใช้วิจารณญานมากพอสมควรเลยทีเดียว
รีวิวซีรีส์ ‘Girl From Nowhere’
ซีรีส์ระทึกขวัญแฟนตาซีเรื่องนี้ สร้างซีซันหนึ่งมาตั้งแต่ปี 2018 ก่อนที่จะกลับมาต่อซีซันสองในปี 2021 ซีซันแรกก็สร้างความฮือฮาไปทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวที่โคตรหมิ่นเหม่แต่มีแง่มุมจริง ความหวือหวาของคาแรกเตอร์แนนโน๊ะที่ดูแรง แรงไปทุกส่วน แต่ที่ปฏิเสธไม่ได้เลยคือคิทตี้ ชิชา ดูเซ็กซี่และน่ามองมากจริงๆ บุคลิกและลีลาการแสดง คือ นี่แหละแนนโน๊ะที่ผู้กำกับต้องการ
‘เด็กใหม่’ ซีซัน 1
เท่าที่ดูก็พบว่า บทดูจงใจ บทดูแปลกแปร่งดูไม่น่าเชื่อในบางจุด ตัวละครบางตัวเปลี่ยนท่าทีโดยข้ามผ่านพัฒนาการ นัยว่าการดู ‘Girl From Nowhere’ นี้ เแม้จะหยิบความจริงในสังคมขึ้นมาบอกเล่า แต่เรื่องราวมันจะดูเกินจริงไปอีกระดับ เวลาดูจึงต้องใช้อีกฟิลเตอร์หนึ่ง
ระหว่างที่ดู เราจะเข้าใจในเจตนาของเรื่องราวว่า ที่จริงแล้ว เขาต้องการจะสื่ออะไร โดยเฉพาะการเอาฉากที่มีเสียงแนนโน๊ะพูดประเด็นบางอย่างขึ้นมาก่อนตอนเริ่มต้น ให้คนดูได้เข้าใจคนทำว่าเขาต้องการจิกกัดสิ่งที่เป็นด้านลบมุมมืดของสังคมและความคิดผู้คน หลังแนนโน๊ะจัดหนักให้บทเรียนกับคนๆ นั้นเรียบร้อยแล้ว จึงปิดท้ายด้วยคำพูดของแนนโน๊ะอีกที
หลายช็อตก็พยายามจะเน้นถ่ายชิชาให้มีความวับๆ แวมๆ ซึ่งเราว่า มันก็อาจจะได้ผลในการสร้างการพูดถึง ผู้ชายอาจชอบ แต่ผู้หญิงอาจหมั่นไส้ และอาจชักชวนให้บางคนรู้สึกว่าซีรีส์เรื่องนี้มันเป็น male gaze รึเปล่า ด้านมุมกล้อง ยังค่อนข้างเน้นถ่ายแบบกึ่งแฮนด์เฮลด์ ให้ภาพดูไหวเบาๆ เกือบตลอดเรื่องซึ่งทำให้รู้สึกว่ามันมากจนเฝือเกินไป บทและการตัดต่อก็ดูไม่สมูท บทพูดตัวละครดูไม่ต่อเนื่อง ขณะที่เรื่องราวก็เดินไปอย่างเอื่อยๆ และไม่ค่อยมีมุมน่าสนใจ มองเห็นเพียงความจิตของแนนโน๊ะที่พยายามทำตัวเป็น mastermind ชักโยงคนอื่น เอาคืนหวังให้บทเรียนแบบเจ็บแสบ
ส่วนตัวค่อนข้างไม่ชอบเท่าไหร่กับบุคลิกที่จู่ๆ นึกอย่างจะหัวเราะร่าก็ระเบิดมันออกมา เลยจะค่อนข้างรู้สึกดีกับบางตอนที่เธอดูสุขุมและคนเขียนบทใส่ชั้นเชิงในการดำเนินเรื่อง ซึ่งก็พบว่ามีน้อยมาก
‘เด็กใหม่’ ซีซัน 2
จากซีซันแรกในปี 2018 มาถึงซีซันสองในปี 2021 สามปีผ่านไป ซีซันใหม่ลดจำนวนจาก 13 เหลือ 8 ด้วยโปรดักชันที่ดูดีขึ้นกว่าเดิม แต่ก็ไม่ได้เป็นไปทุกตอน มีบางส่วนที่ข้ามไปไกลนอกโรงเรียนมากขึ้น แต่สิ่งที่เหมือนเดิมก็คือ แนนโน๊ะที่ยังพร้อมจะก้าวไปเป็นเด็กใหม่ในทุกโรงเรียนเพื่อเอาคืนกับคนที่สร้างปัญหาสังคม เปิดโปงหลากหลายปัญหาในสังคม และเช่นเคยที่เธอจงใจจะแก้แค้นกับคนบางคนโดยละลืมจะมองให้รอบด้าน…อย่างไม่เปลี่ยนแปลง
ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการท้องในวัยเรียนก็ยังเลือกจะแก้แค้นกับชายผู้เห็นเพื่อนหญิงเป็นของเล่น โดยไม่ได้สนใจว่า ปัญหานี้เกิดจากอะไร ควรแก้ในจุดไหน สนใจแต่ว่าผู้ชายคือปัญหาที่ต้องทำให้เขาได้เห็นและรู้สึกด้วยตัวเอง, ปัญหาการรับน้องในโรงเรียนและมหาวิทยาลัย ที่เอาคืนแต่ชายหัวหน้าสตาฟเชียร์ เช่นนี้เป็นต้น
แถมครั้งนี้ แนนโน๊ะยังไม่พบเจอเพื่อนใหม่ที่กลายเป็น ‘บางสิ่ง’ ลักษณะเดียวกันกับเธอ แนวคิดเดียวกันกับเธอ แต่กลายเป็นคู่แข่งในการแก้แค้นเอาคืนแต่เลือกทำให้วิถีที่แตกต่าง เธอคือ ยูริ (ชัญญา แม็คคลอรี่ย์ จากซีรีส์เรื่อง เคว้ง และ The Deadline) ที่จะค่อยๆ ปรากฏตัวชัดเจนในเมื่อหลายตอนผ่านตาเราไป
เมื่อพิจารณาดูแล้วก็พบว่า 3 ตอนสุดท้ายของ Girl From Nowhere ค่อนข้างเขียนบทออกมาได้มีน้ำมีเนื้อและเรื่องดำเนินไปไหลลื่นน่าสนใจกว่าช่วงก่อนหน้ามาก หลังปูเรื่องยูริมาพอควร ก็ได้เวลาสองหญิงลึกลับได้ออกโรงพร้อมกันจริงจัง ตอน 6 ‘ห้องสำนึกตน’ ที่ทำเป็นหนังขาวดำปรับสัดส่วนจอให้แคบ แม้เรื่องราวจะเล่าในโรงเรียนแต่ก็อิงไปถึงสังคมและการเมืองได้เหมือนกัน ตอน 7 ‘Jenny X’ นี่ก็อิงไปกับชีวิตของเน็ตไอดอลและยูทูบเบอร์พ่วงกับเรื่องครอบครัว เขียนบทและเล่าเรื่องได้มีชั้นเชิงพอควร
ส่วนตอนสุดท้าย ‘อวสานแนนโนะ’ ก็แทบจะคล้ายเป็นบทสรุปที่ทำเผื่อไว้ถ้าพวกเขาจะสร้างซีซันใหม่ตามมา
โดยรวมๆ แล้ว เราได้อะไรจากซีรีส์ ‘เด็กใหม่’
โลกของ Girl From Nowhere นั้นไม่ได้เป็นแห่งความจริงที่เรายืนอยู่ แต่เป็นการสร้างโลกที่หยิบยืมความจริงในโลกไปสร้างเป็นโลกใหม่ที่บิดเบี้ยวไปจากที่เคย ถ้าจะถามว่า แล้วเราจะได้อะไรบ้างจากการดูซีรีส์แนวนี้ ก็คงจะรวมๆ แล้วได้ประมาณนี้
สะใจ! เรื่องราวในซีรีส์เรื่องนี้ เหมือนจะไม่ต้องการสืบเสาะหาต้นตอของปัญหา ไม่ต้องการจะค้นกระจายไปเพื่อความหลากหลายของแง่มุม แต่มุ่งเน้นต้องการแก้แค้นเอาคืนกับคนที่สร้างปัญหาในสังคมที่เห็นเด่นชัดที่สุด
ได้แก้แค้น! เอาจริงๆ แนนโน๊ะ ตัวเอกของซีรีส์เรื่องนี้ ดูเป็นคนที่มองโลกในทางบิดเบี้ยว เห็นด้านเดียวของปัญหา และละเลยที่จะมองด้านอื่นที่เหลือ เลือกจะตัดสินผู้อื่นด้วยเพียงหนึ่งแง่มุม และใช้มันจัดการในสิ่งที่เธอคิดว่าถูก ซีซันแรก น่าจะเป็นสิ่งที่การันตีได้ เพราะส่วนใหญ่ นายแพทดูด้วยความรู้สึกเฉยๆ ออกไปทางน่าเบื่อ จนมาถึงซีซันสองที่ปรับให้ดีขึ้นทั้งมุมกล้อง บทพูด การถ่ายทำและตัดต่อ รวมไปทั้งดนตรีประกอบ เมื่อผู้เขียนบทเริ่มจะหาตัวละครอย่าง ‘ยูริ’ ขึ้นมาเพื่อขัดขาตัวเอกดั้งเดิม เลยได้เห็นมุมมองอื่นเพิ่มขึ้น แม้จะยังไม่พ้นการแก้แค้นเอาคืนก็ตาม แต่บทท้ายๆ ก็ดูเหมือนจะสนุกและน่าสนใจมากขึ้น
มินนี่! หลังจากได้เจอตอน ‘มินนี่ 4 ศพ’ ที่ดูจะสะท้อนเอามาจากเหตุการณ์จริง แต่การได้ที่เห็นมินนี่ตัวจริงแสดงในตอน ‘Jenny X’ ทำให้เป็นตอนเดียวที่ทำนายแพทน้ำตาไหล เพราะ มินนี่ ภัณฑิรา พิพิธยากร เล่นบทดราม่าได้โดนหัวใจมาก แถมบทยังสร้างเซอร์ไพรส์ให้ผมได้อีก ถือว่าเป็นจุดดีอย่างหนึ่งได้เลย!
นักแสดงเล่นดี! เล่นดีกันหลายคนเลยแหละ โดยเฉพาะในซีซัน 2 แต่เพราะบทที่อาจจะไปไม่ถึงขั้นนั้นเลยอาจทำให้ไม่ค่อยประทับใจมากนักในบางตอน