ไขรหัสความสำเร็จ Man from the Earth ชายผู้มีอายุหมื่นปี ท้าทายความเชื่อ ปรัชญา และความศรัทธา
Man from the Earth ชื่อไทย ชายผู้มาจากโลก เป็นภาพยนตร์อิสระเชิงปรัชญา กำกับโดย Richard Schenkman ภาพยนตร์เรื่องนี้จะพาผู้ชมไปสู่บทสนทนาที่ท้าทายความเชื่อทุกอย่างของเรา ด้วยการตั้งคำถามกับการดำรงอยู่ของมนุษย์ รวมถึงการเล่าเรื่องที่เป็นเอกลักษณ์และบทสนทนาที่ลึกซึ้ง “Man from the Earth” ชายผู้มาจากโลก ถือเป็นหนังชิ้นเอกที่จะทำให้ผู้ชมตั้งคำถามกับชีวิตของตนเองเกี่ยวกับความจริงและความหมายของชีวิต
ความน่าสนใจของภาพยนตร์เรื่องนี้คือ ใช้ทุนในการสร้างเพียง 2 แสนดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราวๆ 7 ล้านบาท มีการใช้สถานที่ถ่ายทำเพียงแห่งเดียว และใช้นักแสดงเพียง 8 คน แต่กลับกวาดรางวัลมากถึง 12 รางวัล โดย IMDb ให้คะแนนไว้ที่ 7.9 ส่วนบรรดานักวิจารณ์จากเว็บมะเขือเน่า (Rotten Tomatoes) ก็มอบคะแนนให้ 100 เปอร์เซ็นต์เต็ม ส่วนผู้ชมก็มอบให้ถึง 85 เปอร์เซ็นต์
ความสำเร็จดังกล่าวต้องยกความดีความชอบให้กับบทของภาพยนตร์ที่สามารถเติมเต็มช่องว่างให้กลายเป็นภาพยนต์แนวไซไฟที่ล้ำหน้าในทางความคิดที่แฝงปรัชญาในบทสนทนา โดยนำเสนอว่า บนโลกเรามีผู้ที่อยู่เหนือความตาย และจะเกิดอะไรขึ้นหากเขามาเล่าเรื่องราวต่างๆ โดยใช้ ‘ความจริง’ ที่ประสบพบมาด้วยตัวเอง จนนำไปสู่ความท้าทายใหม่ๆ ที่น่าสนใจ
บทความต่อไปนี้จะมีเนื้อหาสปอย
The Man from Earth (2007) เล่าเรื่องของอาจารย์มหาวิทยาลัยคนหนึ่งชื่อ จอห์น โอลแมน (นำแสดงโดย David Lee Smith) มีหน้าที่การงานมั่นคง และกำลังอยู่ในช่วงก้าวกระโดดของชีวิต เขาได้เลื่อนขั้นเป็นอธิการบดีตั้งแต่วัยหนุ่ม แต่กลับปฏิเสธและยื่นใบลาออกเสียดื้อๆ พร้อมกับเก็บข้าวของเพื่อจากไปอย่างทันที ในระหว่างที่กำลังเก็บของ เหล่าอาจารย์ที่ในมหาวิทยาลัยก็ตามมาอำลาเขาตามประสาเพื่อนร่วมงาน แต่สิ่งที่ทุกคนสงสัยคือ ทำไมคนวัยหนุ่มเช่นเขาถึงหันหลังให้กับความสำเร็จ ซึ่งคำตอบที่พวกเขาได้รับจากจอห์น ที่เขาไม่เคยเปิดเผยกับใครว่า เขาเป็นคนที่ใช้ชีวิตในยุคน้ำแข็งและรอดชีวิตมาถึงปัจจุบันนี้โดยมีอายุมากกว่า 1.4 หมื่นปี
การท้าทาย ‘ความจริง’ ของ จอห์น โอลแมน
ภาพยนตร์เรื่องนี้นำแนวความคิดที่คัดค้าน ‘ความจริง’ ที่ไม่เป็นข้อเท็จจริงมาเปิดเรื่องได้อย่างน่าอัศจรรย์ ในขณะเดียวกันก็ให้เหล่าคณาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิในมหาวิทยาลัยเป็นผู้พูดคุยกับจอห์น และถามในสิ่งที่พวกเขามีความรู้ ความเชี่ยวชาญในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ประวัติศาสตร์ โบราณคดี ศิลปะ จนถึงปรัชญา
มีช่วงหนึ่งที่ตัวละครที่เป็นอาจารย์ด้านโบราณคดีกล่าวกับวงสนทนาว่า ‘ถ้าคนในยุคน้ำแข็งมีอายุเท่าพวกเรา เขาคงเรียนรู้ได้มากกว่าพวกเราในปัจจุบัน’ ข้อความตรงนี้ทำให้ผู้เขียนนึกถึงที่มาของคำว่า ปรัชญา (Philosophy) ที่เป็นการรวมกันระหว่างคำว่า ความรัก (Sophia) กับความรู้ (Philos) กลายเป็นความรักในความรู้ และความรักดังกล่าวทำให้ความรู้ ‘ไม่มีวันตาย’ ถูกส่งต่อไปในอนาคตเรื่อยๆ เสมือนกับตัวของจอห์นที่มีอายุมากกว่าใครๆ บนโลกนี้ เขาได้โอกาสเรียนรู้มากกว่าใครๆ และได้ออกค้นหาความหมายของชีวิตมาหลายพันปี จนกระทั่งได้พบเจอบุคคลที่ชื่อเสียงในอดีต ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มโซฟิสต์ โคลัมบัส แวนโก๊ะ หรือแม้แต่พระพุทธเจ้า
ความจริงของจอห์นนำมาสู่การตั้งคำถามอีกมากมายที่พยายามคัดค้านและขัดแย้งสิ่งที่เขาเล่า โดยยกหลักฐานต่างๆ แต่ปรากฏว่าจอห์นสามารถตอบได้ทั้งหมด โดยใช้ ‘ความจริง’ จากประสบการณ์ที่ได้พบเจอมาในระหว่าง 1.4 หมื่นปี ทำให้ไม่มีใครสามารถแย้งได้
ขณะเดียวกัน ในช่วงเปิดเรื่องมีเพื่อนอาจารย์คนหนึ่งกล่าวกับจอห์นว่า วันแรกเมื่อสิบปีที่แล้วกับวันนี้ หน้าตาของเขายังคงเหมือนเดิม แสดงให้เห็นว่า ‘ความจริง’ ของจอห์นยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไป และความไม่เคยเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ทำให้จอห์นต้องย้ายที่อยู่ทุก 10 ปี ไม่เช่นนั้นจะมีคนเริ่มสงสัยว่าเขาไม่เคยเปลี่ยนแปลงไป
ผู้เขียนคิดว่าตรงนี้คือความท้าทายประการแรก ซึ่งสอดคล้องกับแนวความคิดของกลุ่มโซฟิสต์คนสำคัญอย่างเพลโต ที่เสนอแนวความคิดเรื่องโลกแห่งแบบหรือโลกเหนือประสาทสัมผัส เป็นโลกแห่งสัจจะแท้ (The Absolute Reality) ซึ่งไม่แปรปรวน มีความจริง เป็นนิรันดร และเป็นโลกที่สมบูรณ์ เช่น มนุษย์แต่ละคนต่างมีความเป็นปัจเจกแตกต่างกัน สิ่งที่มีร่วมกันคือความเป็นคน ที่เกิด-แก่-เจ็บ-ตาย แต่ต่อให้มนุษย์ตายไป ความเป็นคนไม่ได้ตายไปด้วย แตกต่างจาก จอห์น โอลแมน ที่ ‘ความจริง’ ของเขา คือการไม่มีวันตาย แสดงว่าไม่ว่าจะในโลกแห่งความจริงหรือโลกแห่งแบบ การมีชีวิตอยู่ของจอห์น โอลแมน ก็คือความท้าทายความจริงอย่างถึงที่สุด
อาจสรุปได้ว่าในขณะที่ จอห์น โอลแมน (แค่ชื่อก็แสดงถึงนัยสำคัญ) เล่าเรื่องต่างๆ มากมายที่กำลังท้าทายความเป็นจริงของโลกใบนี้ในมุมมองของเขา แน่นอนว่าอาจเป็นเพียงทฤษฏีสมทบคิด (Conspiracy theory) ที่ในหนึ่งเรื่องอาจมีเรื่องเล่าเป็นร้อยหรือพันแบบแตกต่างกันไป แต่ในโลกของความเป็นจริงที่พวกเราอาศัยอยู่ จอห์นคือตัวละครที่ทำหน้าที่ ‘ท้าทาย’ ความคิดตัวละครอื่นๆ พร้อมกับผู้ชมไปพร้อมกัน
กล่าวโดยสรุป แม้กว่าร้อยละ 90 ของ The Man from Earth คือบทสนทนา แต่กว่า 80 นาทีของภาพยนตร์ ไม่มีช่วงไหนที่น่าเบื่อเลย แต่กลับทำให้เรายิ่งอยากรู้เรื่องราวจากปากของชายผู้อ้างตัวเองว่าเคยเจอพระพุทธเจ้า เป็นเพื่อนแวนโก๊ะ และเป็นพระเยซูคริสต์มากขึ้น กับการตั้งคำถามถึงความเชื่อและความศรัทธา นี่จึงเป็นภาพยนตร์อีกหนึ่งเรื่องที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง
Author : Ad MOB