รีวิวซีรีส์กึ่งสารคดี Thai Cave Rescue (2022) ถ้ำหลวง : ภารกิจเเห่งความหวัง
หลายคนน่าจะได้ดูกันบ้างเเล้วสำหรับซีรีส์น้องใหม่อย่าง Thai Cave Rescue : ถ้ำหลวง ภารกิจแห่งความหวัง ซึ่งพึ่งออกฉายอย่างเป็นทางการเมื่อไม่กี่วันก่อน โดยเนื้อหาส่วนใหญ่มีเเรงบันดาลใจจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงเมื่อหลายปีที่เเล้ว เเต่อาจเติมเเต่งดราม่าเข้าไปบ้าง เพื่อให้เกิดความรู้สึกร่วมกับตัวละครที่กำลังเผชิญกับวิกฤติที่ยากต่อการเอาชีวิตรอดในถ้ำที่ห้อมล้อมไปด้วยความมืดเเละอันตรายรอบด้าน เเน่นอนว่านี่เป็นหนึ่งในซีรีส์กึ่งสารคดีที่หลายคนเฝ้ารอคอยมานาน ยิ่งพอรู้ว่านักเเสดงเเถวหน้าของวงการบันเทิงไทยมาร่วมเเสดงก็ยิ่งอยากดูไปกันใหญ่ ถึงเเม้ว่าบทจะถูกเขียนโดยชาวต่างชาติก็ตาม เเต่ผู้กำกับก็ยังเป็นชาวไทยมากฝีมืออย่าง เควิน ตันเจริญ เเละ นัฐวุฒิ พูนพิริยะ บวกกับนี่เป็นผลงานชิ้นสุดท้ายของนักเเสดงหนุ่มมากความสามารถอย่าง บีม-ปภังกร ฤกษ์เฉลิมพจน์ ด้วยเช่นกัน
ไม่ต้องบอกก็รู้กันอยู่เเล้วว่าเนื้อเรื่องเล่าถึง การที่เด็กกลุ่มหนึ่งหรือนักฟุตบอลทีมหมูป่าเเละผู้ช่วยโค้ช เข้าไปติดถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอนนานหลายชั่วโมง ส่งผลให้เกิดการช่วยเหลือครั้งใหญ่ของคนหลากกลุ่ม หลายองค์กร ทั้งชายไทยเเละชาวต่างชาติ เรียกว่ายอดมนุษย์ฝีมือดีเเห่กันมายกทีม นี่ยังไม่นับการช่วยเหลือจากชาวบ้านเเละคนทางบ้านที่คอยส่งกำลังใจกันทั่วบ้านทั่วเมือง เเต่ก็ต้องยอมรับว่าการช่วยเหลือในครั้งนี้ไม่ง่ายเลย ทรหดเกินจินตนาการ ทุกย่างก้าวมีอุปสรรค์เปรียบเสมือนกำเเพงที่ขวางกั้นอยู่ ซีรีส์จึงพยายามถ่ายทอดเเรงกดดันที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว อย่างน้อยก็ทำให้เราเข้าใจถึงการทำงานของเจ้าหน้าที่ที่มีเวลาเป็นสิ่งเดิมพัน
เเน่นอนหากเราดูตั้งเเต่ต้นจนจบ เชื่อว่าเราจะสามารถมองภาพกว้างๆ ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นออกไม่มากก็น้อย โดยสามารถนำไปเชื่อมโยงกับเหตุการณ์จริงได้เลย ทั้งเเรงจูงใจที่ทำให้เด็กๆ ตัดสินใจเข้าถ้ำ เเละความรู้สึกของผู้ปกครองที่เฝ้ายืนรอคอยลูกๆ อย่างมีความหวังหน้าปากถ้ำ ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าตัวซีรีส์ค่อนข้างทำออกมาดีเลยถึงเเม้อาจขัดใจตรงที่ยืดเยื้อไปบ้างก็เถอะ ซึ่งเราขอไม่สปอยในส่วนของเนื้อหาละกัน อยากให้ตัดสินใจไปดูเองกันดีกว่า เพราะต่างคนต่างความรู้สึก ส่วนหากใครคิดอยากเห็นการช่วยเหลือเด็กออกจากถ้ำ ก็อาจทำใจไว้นิดนึง ส่วนตัวเราว่าค่อนข้างนำเสนอเรียบไป ดูง่ายเหมือนรีบจบ ทั้งที่มันมีปัญหาเเละอุปสรรคต่างๆ เข้ามาเกี่ยวข้องชวนอลหม่านไปหมด เเต่กลับนำเสนอได้อย่างเรียบง่ายเเทบไม่ทำให้ตื่นเต้นเลย ก็ว่ากันไป ที่เหลือก็ลองไปตัดสินกันเองก็เเล้วกัน เเต่อย่างน้อยเราเองก็เชื่อว่ามันน่าจะให้บทเรียนบางอย่างกับสังคมได้อย่างเเน่นอน
สำหรับซีรีส์เรื่องนี้มีเพียงเเค่ 6 ตอนเท่านั้น ความยาวของเเต่ละตอนอยู่ที่ 1 ชั่วโมงกว่าๆ บางตอนก็ไม่ถึง เอาเป็นว่าดูวันเดียวก็จบเเล้ว ล่าสุดก็พึ่งขึ้นเเท่นคว้าอันดับ 1 ใน Netflix (อันดับสูงสุดในไทย) มาเเรงเกินต้านเเบบนี้ก็ต้องหาเวลาดูเเล้วใช่มั้ยครับ
สามารถอ่านบทความจากเราเพิ่มเติมได้ที่