(รีวิว) Dahmer – Monster: The Jeffrey Dahmer Story จากเรื่องจริงอันเหี้ยมโหดสู่ซีรีส์เเสนอำมหิต
Dahmer (2022) อีกหนึ่งซีรีส์กึ่งสารคดีที่น่าสนใจ ซึ่งถูกสร้างจากคดีฆาตกรรมชื่อดังของ เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์ ผู้ลงมือก่อเหตุฆาตกรรมชาย 17 คน ในปี 1991 โดยเหตุการณ์ในครั้งนั้นต่างทำให้ผู้คนนับล้านสะเทือนขวัญเเละไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นจริงบนโลกใบนี้ นี่จึงเป็นซีรีส์ที่ทำให้เราย้อนกลับไปสู่วันวาน วันที่ชายหนุ่มนาม เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์ ตัดสินใจใช้เวลากว่า 10 ปี เพื่อวางเเผนก่อเหตุฆาตกรรม ซึ่งผู้เคราะห์ร้ายทั้ง 17 ราย เป็นเด็กชายวัยรุ่นเเละคนหนุ่ม
เหตุการณ์ดังกล่าวถูกนำเข้าสู่วงการภาพยนตร์ในหลากหลายครั้ง จวบจนปี 2022 นักเขียนบทเเละผู้กำกับเจ้าบทบาทชื่อดังอย่าง ไรอัน เมอร์ฟี่ (Ryan Murphy) ปักธงหยิบยกเรื่องราวดังกล่าวมาเล่าอีกครั้งได้อย่างน่าสนใจผ่าน DAHMER-Monster : The Jeffrey Dahmer Story ซึ่งซีรีส์กึ่งสารคดีเรื่องนี้มีเพียงเเค่ 10 ตอนเท่านั้น โดยเเต่ละตอนมีความยาวราว 46-54 นาที เเต่ละตอนบอกได้คำเดียวเลยว่าทางผู้กำกับค่อนข้างเก็บรายละเอียดได้เเทบไม่เหลือร่องรอย ชวนขนหัวลุก จนไม่กล้าย้อนกลับดูเป็นครั้งที่ 2 เเน่นอน
คร่าวๆ เลยล่ะกันครับ เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์ (รับบทโดย อีวาน ปีเตอร์ส) ผู้ลงมือคร่าเหยือบริสุทธิ์กว่า 17 ราย โดยมีทั้งเด็กชายเเละคนหนุ่มปนเปกันไป จากนั้นเขาจึงนำเนื้อของเหยื่อมากินอย่างเเหวกมนุษย์ ในช่วงเวลาตั้งเเต่ปี 1978-1991 ทว่าเบื้องหลังของการก่อเหตุฆาตกรรมของเจฟฟรี่ย์ ดาห์เมอร์ ตลอดกว่า 10 ปี จะเล่าถึงการเป็นอยู่ของเหยื่อเเละชุมชนที่ไร้คนสนใจเหลียวเเล ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการเหยียดสีผิว เเละความล้มเหลวในวงการตำรวจที่มิได้ทำหน้าที่เท่าที่ควรจะเป็น จึงเป็นจุดเริ่มต้นของความหายนะทั้งหมดที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น
ส่วนความรู้สึกหลังดูจบ คงต้องพูดกันตามตรงว่า อีเเวน ปีเตอร์ส ตัดสินใจถูกเเล้วที่รับเล่นซีรีส์เรื่องนี้ เนื่องจากเขาสามารถเเสดงออกมาได้อย่างสมบทบาท ทั้งสีหน้า เเววตา ท่าทาง จนคนดูนั่งลุ้นกันขนลุกขนพองเเทบไม่เป็นท่า เเต่สิ่งที่เด่นชัดของซีรีส์เรื่องนี้เลย คือ การเล่าเรื่องเเบบ สโลว์เบิร์น (Slowburn) ซึ่งเป็นการเล่าเรื่องที่เน้นเก็บรายละเอียดเป็นหลัก เพื่อให้คนดูเข้าถึงอารมณ์เเละความนึกคิดของฆาตกรได้เเบบถึงพริกถึงขิง ส่วนตัวถามว่าชอบมั้ย ก็ต้องบอกว่ากำลังดี ไม่ถึงกับชอบขนาดนั้นเเต่ก็ดูตั้งเเต่ต้นจนจบ
ท้ายที่สุด หากใครกำลังอยู่ในขั้นของการตัดสินใจ ง่ายที่สุดหากคุณเป็นคนคิดมาก ผมเเนะนำให้เลี่ยงดีกว่าดีที่สุด เพราะบางฉากมันอำมหิตจนอยากเลื่อนผ่าน เเต่หากคุณต้องการดูเพื่อความบันเทิง อยากเสพเเง่คิดที่ทางผู้กำกับสอดเเทรกเอาไว้ ก็ต้องลองดูสักครั้ง เเล้วจะเข้าใจว่าสถาบันครอบครัวมีความสำคัญขนาดไหนกับมนุษย์คนหนึ่ง
สามารถอ่านบทความจากเราเพิ่มเติมได้ที่