7 หนังน่าดู เอาไว้เที่ยวทิพย์ช่วงสงกรานต์
กลับมาอีกครั้งกับ 7 หนังน่าดู ในช่วงวันหยุดยาววันสงกรานต์ในปี 2022 นี้ เนื่องด้วยสถานการณ์บ้านเมืองที่ร้อนระอุ ส่งผลให้การเก็บรักษาตัวอยู่บ้านเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากกว่า เราเลยได้รวบรวมหนังที่กำลังได้รับความนิยม ที่หลายคนต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘ควรดูสักครั้งหนึ่งหากมีโอกาส’ มาฝากกันเเบบจุใจ เเละขอบอกเลยว่านอกจากดูง่าย สนุก ฉากสวย เเล้วนั้น ยังสามารถสร้างเเรงบันดาลใจเล็กๆ ให้เเก่เราด้วยเช่นเดียวกัน
1.The Secret Life of Walter Mitty
นี่เป็นหนึ่งในหนังที่เหมาะกับคนที่เป็นมนุษย์เงินเดือนมาก เนื่องด้วยรูปเเบบการนำเสนอเกี่ยวข้องกับพนักงานคนหนึ่ง นั่นคือ Walter Mitty (Ben Stiller) เขาเป็นคนที่ทำงานอยู่ในตำเเหน่งเดิมของนิตยสาร LIFE มาอย่างยาวนานจนเเทบจำเจ ไม่มีการเลื่อนขั้น หรือเพิ่มเงินเดือน เเม้ว่าตัวเขาเองจะทุ่มเทในหน้าที่มากมายเพียงใดก็ตาม สิ่งที่เขาได้รับยังคงเป็นเงินเดือนเเละสวัสดิการพื้นฐานเท่านั้น
ส่งผลให้การใช้ชีวิตของเขานั้นค่อนข้างมีความน่าเบื่อ เขาเลยเลือกการสร้างการผจญภัยในจินตนาการขึ้นมาเพื่อเเต่งเติมสีสันให้กับชีวิตสุดเเสนน่าเบื่อของเขาเเทนการปล่อยให้ความว่างเปล่าครอบงำ ผนวกกับภายหลังสถานการณ์ภายในบริษัทเกิดการเปลี่ยนเเปลงครั้งใหญ่ กล่าวคือ เปลี่ยนรูปเเบบนิตยสารกลายเป็น Digital Media ทำให้พนักงานหลายคนจำใจต้องเดินออกจากบริษัทอย่างโดดเดี่ยว เนื่องด้วยบริษัทต้องการลดจำนวนพนักงานที่อาจไม่จำเป็นต้องจ้างอีกต่อไป
https://youtu.be/HddkucqSzSM
เเต่เเล้วเหตุการณ์ทุกอย่างกลับพลิกผันไปพอควร เมื่อนิตยสารเล่มสุดท้ายที่จะออกจำหน่าย จำเป็นต้องได้รูปถ่ายจาก Sean O’Connell ซึ่งตัวเขาเองเป็นช่างภาพที่มีชื่อเสียงดังกึกก้องทั่วโลก วันหนึ่งเขาได้ส่งของขวัญพร้อมจดหมายที่มีคำชื่นชมมาหา Mitty เเต่กลับปราศจากฟิล์มหมายเลข 25 ที่จำเป็นต้องใช้สำหรับขึ้นปกนิตยสารในฉบับดังกล่าวก่อนปิดตัวลง
เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ Mitty ต้องออกเดินทางตามหา Sean O’Connell เพื่อถามไถ่รูปถ่ายที่ขาดหายไป เเต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะส่วนตัว Sean O’Connell เขาดันไม่มีโทรศัพท์หรือช่องทางติดต่อใด นั่นจึงกลายมาเป็นจุดเริ่มต้นของการผจญภัยครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตของเขา
เรื่องนี้ขอบอกอ้อมๆ เลยว่าคุณจะได้เห็นตัวละครอย่าง Mitty (Ben Stiller) ในรูปเเบบที่เเตกต่างจากตัวละครเดิมๆ เขามิได้มาพร้อมความเพี้ยนฮาเเต่อย่างใด ในทางตรงกันข้ามเราจะได้เห็นความเป็นมนุษย์คนหนึ่งจากชายคนนี้ เเม้ในบางเรื่องเขาอาจมีความขัดเเย้งในตัวเองค่อนข้างสูงก็ตามที ซึ่งการเเสดงเเละถ่ายทอดอารมณ์ของ Stiller ก็สามารถทำออกมาได้ดีเข้าขั้นมาตรฐานปกติของ Hollywood
2.Wild
เรื่องนี้ต้องขอบอกก่อนเลยว่า ‘เป็นเรื่องราวยอดเยี่ยมเหนือคาด’ จนใครหลายคนที่ดูมาเเล้วให้คะเเนน 8.5/10 เลยทีเดียว ในขณะที่บางคนอาจมองว่ามันมีส่วนผสมความเครียดร่วมอยู่ก็เถอะ หนำซ้ำเรื่องนี้ ยังคว้าตัวนักเเสดงสาวที่เคยได้รับรางวัลออสก้าร์จากเรื่อง Walk the Line อย่าง Reese Withespoon มาร่วมถ่ายทอดอารมณ์ด้วย ยิ่งทำให้น่าดูไปกันใหญ่ โดยเธอต้องมาสวมบทเป็น Cheryl หญิงสาวที่มีปูมหลังอันน่าข่มขื่น ตกต่ำ ไม่สวยงามเหมือนใครๆ ซึ่งเรื่องราวทั้งหมดถูกดัดเเปลงมาจากชีวิตจริงของ Cheryl Strayed ที่ตัดสินใจออกเดินทางมากกว่า 1,000 ไมล์ เพื่อค้นหาตัวเองเเละสร้างเเรงบันดาลใจ โดยในภาพยนตร์เรื่องนี้มีบทสนทนาหลากหลายฉากที่ให้เเง่คิดที่สามารถนำมาปรับใช้ได้ในชีวิตจริง โดยเฉพาะเวลาที่ Cheryl เผชิญหน้ากับเเม่ของเธอ มันเปี่ยมล้นไปด้วยพลัง เเละบทเรียนมากมายที่สอดเเทรกอยู่อย่างดี
เเต่เเล้ววันหนึ่งเมื่อการเดินทางได้เริ่มต้นขึ้น นำพามาสู่การเหตุการณ์ต่างๆ มากมายเหนือจินตนาการ เเต่มิได้โดดเดี่ยวจนเงียบเหงา เพราะระหว่างการเดินทางเธอได้พบปะพูดคุยกับผู้คนบ้างเป็นระยะ
ในบางช่วงเวลามีการสอดเเทรกปูมหลังให้ขบคิดหวนนึกถึง ผนวกกับลีลาชั้นเชิงการตัดต่อเล่นเสียง ที่ทำออกมาโคตรเยี่ยม ทั้งเสียงที่เเฝงเข้ามาหรือเฟดเสียงหายไป จุดนี้เองที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ ทำออกมาได้อย่างสมบูรณ์ เพราะมันสามารถเล่าถึงปูมหลังของตัวละครได้อย่างลึกซึ้ง เข้าถึงอารมณ์ อีกนัยยะหนึ่ง โดยวิสัยของนักเดินทางคนเดียวทั่วๆ ไปเเล้ว จะมีบางจังหวะที่ต้องโลดเเล่นไปกับสายธารเเห่งความคิด โดยเฉพาะเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นในอดีตยากที่จะลืมเลือน
อย่างไรก็ตาม อย่าเผลอจินตนาการไปว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้จะให้กลิ่นอายสร้างเเรงบันดาลใจเหมือนอย่าง The Secret Life of Walter Mitty เนื่องด้วยเนื้อหาที่มีความต่างเป็นทุนเดิม เเละดูเหมือนว่า Wild ให้อารมณ์ค่อนข้างเครียด ความเงียบเหงา เเละว่างเปล่ามากกว่าด้วยซ้ำ ถึงเเม้บางจังหวะจะมีการถ่ายภาพสวยๆ ให้ชมก็ตามที
3.Eat Pray Love
เรียกได้ว่าใครหลายคนอาจไม่คุ้นเคยมากนักกับหนังเรื่องนี้ เนื่องจากผ่านมานานเเล้ว เนื่องจากเวลาที่ผ่านมาเนิ่นนานเกือบ 10 ปี เเต่เอาเถอะ เนื้อหายังคงใหม่ชวนน่าดูตั้งเเต่อดีตจวบจนปัจจุบันจนอยากเเทบยกนิ้วโป้งชมว่าเยี่ยม โดยเนื้อหาในภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกดัดเเปลงมาจากบันทึกการเดินทางในชื่อเดียวกันของ เอลิซาเบธ กิลเบิร์ต ซึ่งได้บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการผจญภัยรอบโลกของเธอเป็นเวลาหนึ่งปีเต็ม โดยมีจุดหมายปลายทางเพื่อเสาะเเสวงหาความเป็นตัวเอง พลังใจ รวมถึงความสมดุลในชีวิต
ต้องขอบอกก่อนเลยว่า เอลิซาเบธ เธอเป็นหญิงสาวที่มีความเพียบพร้อม ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินเงินทอง สามี หรือเเม้กระทั่งที่อยู่อาศัย เเต่เธอกลับรู้สึกขาดหายในบางเรื่อง จนเริ่มสับสนในตัวเอง ผนวกกับเธอไม่เข้าใจความต้องการในส่วนลึกของจิตใจของตัวเอง ส่งผลให้เธอตระหนักถึง การเปลี่ยนชีวิตเเละการนำสิ่งที่ขาดหายกลับคืนมา นี่จึงเปรียบเสมือนใบเบิกทางที่ทำให้เธอท่องโลก 1 ปีเต็ม เเน่นอนว่าการตัดสินใจออกเดินทางในครั้งนี้ ทำให้เธอดื่มด่ำกับอาหารเเหวกเเนวในอิตาลี พลังของการสวดมนต์ภาวนาในอินเดีย เเละจบด้วยการค้นพบความสงบเเละสมดุลเเห่งรักที่บาหลี
ในมุมของคนไทยอย่างเราๆ ต้องยอมกันอย่างตรงไปตรงมาว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้น้อยคนเท่านั้นที่จะรู้จัก เพราะมิได้โด่งดังในเมืองไทยจนกลายเป็นกระเเสยอดฮิตเหมือนภาพยนต์เรื่องอื่นๆ เเต่หากได้ดูสักครั้งเชื่อว่า มันให้ความรู้สึกหรือกลิ่นอายความรอมคอม เบาสมอง ดูง่ายชวนยิ้มตาม ที่สำคัญคือ สามารถสร้างเเรงบันดาลใจให้เเก่เราได้ จนใครหลายคนหลังดูจบอาจยกให้เป็นหนังสุดโปรดในดวงใจอย่างเเน่นอน ซึ่งมีส่วนช่วยให้เราปลีกวิเวกจากงานที่หมุนเกลียวซับซ้อนพันละวันพันละเกในชีวิตจริง มาสู่อีกโลกหนึ่งที่เบิกบานใจมากขึ้น ที่สำคัญระหว่างทางเราจะได้พบกับภาพสวยๆ วิวทิวทัศน์ละลานตาในพื้นที่ที่เเตกต่างกัน จนเเทบอยากจองตั๋วไปเที่ยวซ่ะเลย
4.ชัมบาลา
เมื่อเอ่ยถึง Shambhala ใครหลายคนอาจหวนนึกถึงดินเเดนเเห่งหนึ่งที่อยู่ในทิเบต เป็นดินเเดนที่น้อยคนจะเดินทางไปถึงด้วยกับเหตุผลต่างๆ นาๆ เเต่หากคุณอยากรู้ว่าในดินเเดนนี้มีอะไร ลองเปิดใจทำความรู้จักกับหนังไทยชื่อดังเมื่อหลายปีที่เเล้ว อย่าง ชัมบาลา (Shambhala) ดูหน่อยล่ะกัน ซึ่งมันอาจเป็นทางลัดเพื่อเชื่อมตัวคุณกับดินเเดนเเห่งนี้ โดยไม่จำเป็นต้องออกตังค์จองตั๋วไปเลยเเม้เเต่บาทเดียว
หนำซ้ำหนังเรื่องนี้ยังสามารถคว้าตัวนักเเสดงชื่อดังอย่าง อนันดา เอเวอริงเเฮม เเละ ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ สองหนุ่มหล่อมากความสามารถที่ใครหลายคนชื่นชอบในผลงานผ่านๆ มาอยู่เเล้วเป็นทุนเดิม เลยอยากวอนให้เปิดใจดูหนังเรื่องนี้หน่อยถึงเเม้ที่ผ่านมาจะมีกระเเสหนาหูเกี่ยวกับภาพเเละสีสันที่ถูกถ่ายออกมาไม่ค่อยเข้าตามากนัก
ว่ากันว่า ‘คนหนึ่งออกเดินทางพร้อมความหลัง ส่วนอีกคนคนออกเดินทางด้วยความหวัง’ ประโยคเพียงสั้นๆ จึงกลายมาเป็นพล็อตสำคัญที่เรียกให้คนตัดสินใจดู (เเม้ในความจริงเเล้วมันอาจมิได้เกี่ยวข้องใดๆ กับประโยคดังกล่าวเลย)
วุฒิ (ซ้นนี่ สุวรรณเมธานนท์) เขาเป็นชายหนุ่มลุคเซอร์ที่มาพร้อมความยึดมั่นในความรักเหนือสิ่งอื่นใด ซึ่งเขาพร้อมจะทำทุกสิ่งอย่างเพื่อเเฟนสาวของตนอย่าง น้ำ (ฝน นลินทิพย์ เพิ่มภัทรสกุล) เธอมีความฝันเล็กๆ ว่า อยากเดินทางไป ชัมบาลา สักครั้งในชีวิต เเต่ทว่าความฝันของเธอกลับดับเเสงลง เนื่องด้วยสภาพร่างกายที่ไม่อำนวย ส่งผลให้วุฒิต้องเเบกรับความฝันเเละออกเดินทางไปเยือนชัมบาราเเทนเธอ พร้อมกับชายหนุ่มสุดหล่ออย่าง ทิน (อนันดา เอเวอริงเเฮม) พี่ชายสุดกาก ที่อาสาเดินทางไปพร้อมกับเขาในฐานะเพื่อนคอยเก็บภาพระหว่างทาง เเต่เหตุผลที่ลึกๆ ที่ทำให้เขาตัดสินใจเดินทางครั้งนี้กับน้องชาย คงมีเหตุผลมาจากการที่เขาต้องการลืมเรื่องราวบางอย่างในก้นบึ้งหัวใจของเขา เพราะเขาต้องเเบกความหลังจากความผิดหวังจากหญิงสาวที่ตนเองรักอย่าง เจน (โอซา เเวง)
เรื่องนี้บอกได้คำเดียวเลยว่า มันมีส่วนผสมบางอย่างที่ลงตัว จนเเทบอยากกลับมาดูซ้ำสอง รวมไปถึงยังมีเรื่องราวของศาสนาเข้ามาสอดเเทรกผ่านการเดินทางของพวกเขาได้อย่างดิบดี ดูจบคงได้รับหลักธรรมคำสอนบางเรื่องนำไปขบคิดกันเลยทีเดียว
5.Into The Wild
เมื่อเอ่ยถึงหนังเรื่องนี้ ขอบอกเลยว่าหลายคนจัดให้อยู่ในลิสต์ ‘หนังเหงา’ กันเลยทีเดียว ในขณะที่หลายเสียงบอกมาหลังจากดูจบว่า อยากเดินทางเข้าป่าล่าสัตว์เเบบพระเอกเลย เเต่ป่าเมืองไทยอาจมีสิ่งที่เหนือความคาดหมาย ความฝันลมๆ เเล้งๆ เลยปลิวว่อนหายไป
นี่เป็นหนึ่งในหนังที่ถูกสร้างมาจากเรื่องจริงของ คริสโตเฟอร์ เเมคเเคนเดิลส์ ชายหนุ่มที่พึ่งจบจากรั่วมหาลัยมาใหม่ๆ เสื้อครุยยังคงใหม่เอี่ยม เเต่เเล้วกลับเลือกที่จะออกผจญภัย เพื่อค้นหาความหมายของชีวิต เเทนที่จะเข้าสังคมหางานเลี้ยงปากท้องเหมือนวัยรุ่นคนอื่นๆ
การเดินออกเดินทางของเขาในครั้งนี้ ค่อนข้างปักหมุดหมายชัดเจน นั่นคือ การเยือนอลาสกา ดินเเดนที่เปี่ยมไปด้วยความสงบสุขเเละธรรมชาติเเสนสวยงาม
เชื่อว่า หลังจากดูจบเเล้วใครหลายคนน่าจะหลงรักการเเสดงของ Emile Hirsch เป็นเเน่เเท้ เหตุเพราะว่าเขาสามารถเเสดงเเละถ่ายทอดอารมณ์ออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ มันให้ความรู้สึกสอดคล้องกับความเป็นจริงในฐานะปุถุชนคนธรรมดาเดินดินกินข้าวเเกงว่า ต่อให้เราตัดสินเดินทางเข้าป่า เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่อย่างเสรี ไม่ยึดติดกับสิ่งใด สุดท้ายเเล้ว เราคงไม่กล้ามากพอที่ทิ้งทุกสิ่งอย่างในโลกเเห่งทุนนิยมที่เรากำลังเหยียบย่ำอยู่ดีนั่นเเหละ
6.The Fall
ว่ากันว่านี่เป็นหนึ่งในหนังเเห่งตำนานที่ขึ้นชื่อในเรื่องของภาพสวยที่สุดอันดับต้นๆ ของโลก โดยไม่มี CG ร่วมเลยเเม้เเต่ฉากเดียว อ่านดูเเล้วอาจดูเว่อร์ เเต่ความเป็นจริงเเล้ว เขาสามารถรังสรรค์ผลงานชิ้นออกมาสวยเกินจินตนาการจริงๆ
นี่เป็นหนึ่งในผลงานของผู้กำกับเชื้อสายชาวอินเดียอย่าง Tarsem Singh ซึ่งก่อนหน้านี้ เขาเคยลงสนามกำกับภาพยนต์หนึ่งเรื่องถ้วนอย่าง ‘The Cell’
เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นที่โรงพยาบาลเเห่งหนึ่งในลอสเเอนเจลิส เราจะพบกับชายหนุ่มหน้าตาดีเเต่ร่างกายช่วงร่างกลับกลายเป็นอัมพาตอย่าง ‘รอย วอล์คเกอร์’ เขาเป็นสตั๊นท์ที่ประสบอุบัติ จนเป็นจุดจบในหน้าที่การงาน
ในจังหวะที่เขานอนอยู่อย่างหดหู่เเละสิ้นหวังในคราวเดียวกัน กาลเวลาได้พาเขามาพบกับหนูน้อยสุดเเสนน่ารักอย่าง ‘อเล็กซานเดรีย’ ที่ซุกซนจนเป็นเหตุให้ตกจากต้นไม้ ทำให้เธอต้องถูกส่งตัวมารักษาในโรงพยาบาลเเห่งนี้
จากจุดๆ นี้ ทำให้มิตรภาพของทั้งสองค่อยก่อตัวขึ้นบนเตียงคนไข้ของโรงพยาบาลเเห่งนี้ ไม่นานหลังจากนั้น รอยได้เล่าเรื่องให้หนูน้อยฟัง ซึ่งมีส่วนช่วยให้อเล็กซานเดรียหลุดพ้นจากบรรยากาศสุดเเสนน่าเบื่อในโรงพยาบาล ย่างก้าวเข้าสู่โลกล้ำจินตนาการสุดอลังการ ทั้งเรื่องเป็นภาพในชีวิตจริงตัดสลับกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในนิทาน
ขอบอกเลยว่าทุกฉากที่เขาถ่ายออกมาในภาพยนตร์เรื่องนี้ คือที่สุดของความสวยงามอย่างเเท้จริง มันให้ความรู้สึกสุดวิจิตร ตระการตา ขนลุกในความสวยงามตามๆ กัน อย่างการไปถ่ายทำที่เขาวงกตอันน่าพิศวง เเปลกตา ไม่คุ้นเคย ทำเอาลุ้นๆ ตามๆ กันว่า ฉากต่อๆ ไป เขาจะนำเสนออะไรอีก ซึ่งหากนำมาฉายในสมัยนี้ หลายคนอาจตั้งคำถามนานานับประการว่าเป็น CG หรือไม่ เนื่องจากในปัจจุบัน Computer Graphic เข้ามามีบทบาทในวงการภาพยนตร์เป็นอย่างมาก เเต่เรื่องนี้รับประกันเลย ‘สถานที่จริง’ หนึ่งล้านเปอร์เซ็นต์อย่างเเน่นอน
7.Before Sunrise
สารภาพตามตรงเลยว่าวันเเรกที่ภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าฉาย เรายังไม่เกิดเลย (หัวเราะ) เเละเชื่อว่าเพื่อนๆ หลายก็ยังคงไม่เกิดเหมือนกัน หรือถ้าเกิดเเล้วก็คงนอนอยู่ในอ้อมกอดของเเม่บนเตียงโรงพยายาลเป็นเเน่เเท้ เนื่องจากภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าฉายครั้งเเรกเมื่อวันที่ 27 มกราคม 1995 ซึ่งผ่านมาเเล้วมากกว่า 20 ปี
หลักๆ เเล้วหนังได้นำพาให้เรารู้จักกับชายหนุ่มสุดหล่ออเมริกันอย่าง เจสซี (Ethan Hawke) เเละ ซีลีน (Julie Delpy) สาวสวยจากฝรั่งเศษ ทั้งสองพบกันครั้งเเรกในระหว่างที่รถไฟเเล่นตามรางระหว่างเดินทางไปเวียนนา จนมาสู่การเปิดใจพูดคุยทำความรู้จักกัน เนื่องด้วยเจสซีต้องเดินทางกลับในเช้าวันรุ่นขึ้น ในขณะที่ซีลีนมีความตั้งมั่นเดินทางกลับไปเรียนต่อที่ฝรั่งเศส ทั้งสองเลยเลือกเเชร์เรื่องราวดีๆ ต่อกัน โดยเชื่อว่าคงจะไม่ได้พบกันอีกเเล้วต่อจากนี้
อย่างไรก็ตาม หนังเรื่องนี้ถูกสร้างขึ้นมาจากเหตุการณ์จริงของผู้กำกับริชาร์ด เขาได้พบกับหญิงสาวคนหนึ่งในระหว่างเดินทางไปเยี่ยมน้องสาว ตลอดจนได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันตั้งเเต่เที่ยงจวบจนรุ่งอรุณขึ้นเหนือขอบฟ้า เรื่องราวทั้งหมดจึงกลายเป็นพล๊อตสำคัญในการรังสรรค์ผลงานชิ้นนี้ขึ้นมา เเม้ภายหลังหญิงสาวที่ตนเคยเจอในคืนนั้น ต้องประสบอุบัติเหตุถึงขั้นเสียชีวิตในปี 1994 ไม่กี่สัปดาห์ก่อนที่ริชาร์ดเริ่มถ่ายหนัง Before Sunrise
หลังดูจบเชื่อว่าหลายคนคงอยากเก็บสัมภาระออกเดินทางมันให้ความรู้สึกที่ต้องสัมผัสด้วยตัวเองถึงจะเข้าใจ เเม้บทสนาอาจดูเยอะไปบ้างในบางจังหวะ เเต่รับประกันเลยว่า นี่เป็นหนึ่งในหนังที่ดีที่สุดในยุคนั้นจริงๆ จนต้องหวนกลับมาดูอีกสักครั้งในปัจจุบันอย่างเลี่ยงมิได้
______________________________________
สามารถอ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่ : https://uhdmax.net/category/movie-news/?swcfpc=1