ซีรีส์แนวไซโคสยองขวัญที่นำคาแรกเตอร์และตัวละครต่างๆ มาจากนิยายของ Stephen King มารวมกันอยู่ในเรื่องเดียวกัน ที่มีชื่อเรื่องว่า Castle Rock

ใครบางคนอาจจะดูแล้ว แต่ก็คงมีบ้างบางคนที่ยังไม่ได้ดู ซีรีส์ที่จบไปแล้ว 2 ซีซัน ซีซันละ 10 ตอน แต่เมื่อพบว่ามันเป็นซีรีส์ที่ดูสนุก โปรดักชันดี น่าสนใจ จึงน่าจะหยิบมาเขียนถึง เผื่อว่าใครที่ยังไม่ได้ดู อาจจะหันมาสนใจติดตามกันบ้าง แม้ซีรีส์จะไม่ได้ไปต่อในซีซันที่สาม แต่ก็ไม่ควรพลาดที่จะแวะเข้าไปดูกันซักหน่อยเลยนินะ

เอาล่ะ เรามาเริ่มกันเลยดีกว่าว่าเรื่องราวในเมืองแคสเซิลร็อกมันเป็นเช่นใร

เรื่องย่อซีรีส์ ‘Castle Rock’

เรื่องราวที่เกิดขึ้นในเมืองที่ชื่อว่า แคสเซิลร็อก เมืองที่มีตำนานอันยาวนาน ฆาตกรรม การฆ่าตัวตาย รวมไปถึงตำนานพ่อมดแม่มดอะไรนั่น รวมอยู่ในเมืองๆ นี้

แต่ก่อนอื่น ซีรีส์จะพาเราไปรู้จักกับคุกเลื่องชื่อที่ชื่อ ทัณฑสถานชอว์แชงค์ กันก่อน หลังพัศดีคนเก่าลาโลกลงทะเลสาบแคสเซิลเลก พัศดีหญิงคนใหม่ก็เข้ามาทำหน้าที่แทน และได้รู้ว่าคนเก่าซ่อนนักโทษไร้ชื่อเอาไว้ในแดนแปด เขาไม่รู้ชื่อตัวเอง เอาเป็นว่าเขาคือ The Kid (Bill Skarsgård จากหนังเรื่อง It, Deadpool และ The Devil All the Time) ก็แล้วกัน เขาถูกขังอยู่ในคุกยาวนาน คำแรกที่เขาอ้าปากพูดเป็นชื่อของทนายคนหนึ่ง

เฮนรี่ ดีฟเวอร์ (André Holland จากหนังเรื่อง Moonlight และ A Wrinkle in Time) คือทนายคนนั้น เขาบึ่งรถกลับมายังเมืองแคสเซิลร็อกเพื่อว่าความให้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว เขาก็คือคนเมืองนี้ มีประวัติเคยหายตัวไป 11 วันในสมัยเป็นเด็กวัย 11 ขวบ ก่อนจะกลับมาอย่างปาฏิหาริย์

ตอนนี้ พ่อบาทหลวงที่รับเขามาเลี้ยงก็ได้ตายไปแล้ว เขามาอยู่กับรูธ (Sissy Spacek) ภรรยาของบาทหลวง (ที่เขาเรียกว่าแม่) เธอเป็นโรคสมองเสื่อมแต่ก็อยู่ในความดูแลของ อลัน แพงบอร์น (Scott Glenn) ใช่แล้ว…

เขากลับมายังเมืองที่เต็มไปด้วยเรื่องราวลึกลับ เหนือธรรมชาติ และน่าหวาดหวั่น…เมืองนั้นอีกครั้ง

รีวิวซีรีส์ ‘แคสเซิลร็อก’

เอาจริง ผู้คนในเมืองนี้ก็มีแต่พวกพฤติกรรมแปลกประหลาดกันทั้งนั้นเนอะ แต่จะมีตัวละครบางตัวที่จะมีความพิเศษ นั่นคือ มีพลังพิเศษที่แตกต่างไปจากคนอื่น เช่น บางตัวสามารถได้ยินบทสนทนาของคนอื่น บางตัวมีพลังควบคุมความคิดของคนอื่น อะไรแบบนี้เป็นต้น

ซีรีส์ที่รวมตัวละครในนิยายของสตีเฟ่น คิง

เริ่มต้นมาก็จะเล่าถึงเหตุในคุกชอว์แชงค์กันละ ซึ่งแน่นอนว่า หนังอย่าง The Shawshank Redemption ย่อมต้องเป็นหนังขึ้นหิ้งและหนังในดวงใจของใครหลายๆ คน หนังที่มีต้นกำเนิดมาจากนิยายขนาดสั้นของ Stephen King เรื่อง Rita Hayworth and the Shawshank Redemption แม้ซีรีส์จะไม่ได้เล่าเรื่องราวของการแหกคุก แต่ก็มีนักแสดงที่เคยเล่นหนังเรื่องนั้น เขาคือ Tim Robbins แล้วก็ยังมี Bill Skarsgård ที่เคยเล่นเรื่อง It ซึ่งนั่นก็เป็นผลงานจากปลายปากกาของชายชื่อ สตีเฟ่น คิง เช่นเดียวกัน

ข้อเสียของการที่เราไม่ใช่แฟนตัวยง ไม่ใช่นักอ่านที่ติดตามผลงานของคิง ทำให้บางแง่มุม บางคำพูดของตัวละคร ที่อาจอ้างอิงถึงเรื่องราวในนิยายบางเรื่องของเขา เราก็อาจจะไม่ได้รู้สึกอินเท่าที่ควรจะเป็น แม้จะมองเห็นว่า ตรงนี้ที่ตัวละครพูดมามันน่าจะหมายถึงใครสักคนในนิยายของคิง แต่แล้วก็ทำได้แค่ตะหงิดใจเท่านั้นเองอะนะ

‘Castle Rock’ ในซีซัน 1

ซีซันนี้ เล่าเรื่องโดยเน้นหนักไปที่ เฮนรี ดีฟเวอร์ ชายผิวดำผู้ที่วัยเด็กของเขาขาดหายไป รู้เพียงว่าตนเคยหายไป 11 วัน แต่หลังจากนั้นก็กลับมาอย่างน่าประหลาดใจ เขาจดจำเรื่องราวก่อนหน้านั้นไม่ได้ จึงเริ่มลงมือสืบหาความจริงเกี่ยวกับตนเอง ความคิดเช่นนั้นเริ่มขึ้นเมื่อเขาออกจากฮิวสตันมายังคุกชอว์แชงค์เพื่อว่าความให้กับนักโทษลึกลับคนหนึ่ง

ขณะเดียวกัน ชายหนุ่มที่ถูกพบในคุก คนที่แทบไม่ปริปากพูดกับใคร คนที่เอ่ยคำแรกก็เป็นชื่อของเฮนรี่ ชายที่วันหนึ่งก็ได้ออกมาเดินนอกคุก เรื่องราวของชายผู้คนนี้แท้จริงจะมีอะไรที่ลึกลับซ่อนอยู่ เป็นสิ่งที่ผู้ชมต้องการจะค้นหา

ความน่าสนใจของมันก็คือ การที่เฮนรี มีเพื่อนเก่าที่อยู่บ้านตรงข้ามเป็น มอลลี่ สแตรนด์ (Melanie Lynskey จากหนังเรื่อง Don’t Look Up และ Up in the Air) สมัยเด็ก เธอมักจะใช้กล้องส่องทางไกลลอบสังเกตพฤติกรรมของบ้านตรงข้ามอยู่บ่อยๆ ตอนนี้ เธอกลายเป็นสาวที่หาเลี้ยงชีพด้วยการเป็นนายหน้าขายบ้าน และเธอก็มีพลังพิเศษ สามารถจะได้ยินเสียงของคนที่อยู่ใกล้ได้ ความสามารถนี้ ดูไม่ต่างกับ The Kid มากนัก แต่ฝ่ายนี้จะชอบไปยืนอยู่บนที่สูงๆ แล้วลอบฟังเสียงผู้คน แถมจะชอบฟังเสียงความทุกข์เศร้าของผู้คนมากเป็นพิเศษ

การดำเนินเรื่องในซีซันแรกค่อนข้างหย่อนลงไปในหลายตอน ใส่บรรยากาศชวนหวาดหวั่นพรั่นสะพรึงมาเป็นพักๆ จนแทบต้องใช้ความอดทนในการติดตามอยู่นิดหน่อย แต่สำหรับใครที่ชื่นชอบอะไรที่ชวนหลอน ชวนสงสัย ชอบการเล่าแบบหลอกล่อไปมา อาจรู้สึกชอบใจก็เป็นได้

‘Castle Rock’ ในซีซัน 2

มาต่อที่ซีซันถัดมา จะเล่าถึงพื้นที่ที่มีทั้งชนผิวขาวเจ้าของพื้นที่ อาศัยอยู่ร่วมกับเหล่าชนผิวดำเชื้อสายโซมาลีที่ได้รับการเอื้อเฟื้อให้เข้ามาอยู่อาศัยของป็อป เมอร์ริล (Tim Robbins จากหนังเรื่อง Mystic River และ Dark Waters) ชายผู้มีหลานสองคน เอซ เมอร์ริล (Paul Sparks จากซีรีส์ House of Cards) และคริส เมอร์ริล (Matthew Alan) ต่างคนมีนิสัยต่างกันคนละขั้ว

ทุกอย่างมันเริ่มต้นขึ้นเมื่อ แอนนี่ (Lizzy Caplan จากหนังเรื่อง Now You See Me 2 และ 127 Hours) และ จอย (Elsie Fisher จากหนังเรื่อง Eighth Grade และ Despicable Me 2)​ สองแม่ลูกที่ขับรถย้ายที่อยู่ไปเรื่อยๆ เหมือนจะหนีอะไรสักอย่าง ก่อนจะมาประสบอุบัติเหตุที่ตรงทางเข้าเมืองพอดิบพอดี แอนนี่เองก็มีปัญหาด้านจิต เธอมักเห็นภาพหลอนน่ากลัวๆ จนต้องพึ่งพายาต้านอาการทางจิต เธอขโมยยาจากคลังยามาทุกที่ที่เธอทำงาน ทั้งยังพยายามจะจำกัดไม่ให้จอยออกไปสุงสิงกับใคร แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยฟัง

ในเมืองนี้กำลังจะมีห้างเกิดขึ้น เป็นห้างที่นำทีมโดย แอ๊บดี้ (Barkhad Abdi จากหนังเรื่อง Blade Runner 2049, Captain Phillips และ The Pirates of Somalia) พี่ชายของหมอนาเดีย (Yusra Warsama จากหนังเรื่อง The Last Days on Mars) ทั้งสองพี่น้องเป็นลูกบุญธรรมของป็อป โดยนาเดียก็คบหาอยู่กับคริส ขณะที่ใต้ดินเบื้องล่างของห้างแห่งนี้เคยเป็นที่ตั้งของหลุมฝังศพ

ซีซันสองของ แคสเซิลร็อก นั้น ดูเข้าถึงง่ายกว่าซีซันแรกพอประมาณ เรื่องราวค่อนข้างน่าตื่นเต้นกว่า ซีรีส์พาเราไปทำความรู้จักกับชีวิตเบื้องหลังของแอนนี่ที่จะทำให้รู้จักกับความจริงที่ถูกเก็บซ่อนในตอนแรกๆ และอดีตที่ส่งผลถึงความเป็นแอนนี่ในปัจจุบัน ถือว่า ซีซันที่สองนี่ทำได้สนุกเข้าขั้นเลยทีเดียว

แต่แล้ว แคสเซิลร็อก ก็ต้องปิดฉากลงไปอย่างเสียดายเมื่อทาง Stephen King และ JJ. Abrams รวมทั้งช่องทางสตรีมมิ่งอย่าง hulu นั้นจะออกมาประกาศไม่ทำต่อในซีซันถัดมาโดยไม่บอกเหตุผล ปล่อยให้ผู้ชมหันไปติดตามซีรีส์เรื่องอื่นๆ ที่มีการนำเอาบทประพันธ์ของคิงมาสร้างเอาเอง

ก็แอบเสียดายที่มาสุดทางได้แค่ซีซันสอง