slider2
slider2
previous arrow
next arrow
ซีรีส์ใหม่! The Frog (2024) ตีเเผ่ผลกระทบของการกระทำที่มองไม่เห็น

ซีรีส์ใหม่! The Frog (2024) ตีเเผ่ผลกระทบของการกระทำที่มองไม่เห็น

The Frog ซีรีส์ทริลเลอร์จาก Netflix นำเสนอคำถามคลาสสิกที่ว่า “ถ้าต้นไม้ล้มในป่า และไม่มีใครอยู่รอบ ๆ จะมีใครได้ยินเสียงหรือไม่?” ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเรื่องราวที่เล่นกับความเงียบและผลกระทบที่ตามมาเมื่อไม่มีใครรับรู้

เรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจจากคำกล่าวของเกาหลีที่ว่า “กบที่ถูกหินปาถูกตีจนตาย” สื่อถึงการกระทำหรือคำพูดที่ประมาทอาจทำร้ายผู้อื่นอย่างไม่ตั้งใจ และ The Frog ได้ขยายแนวคิดนี้ให้เห็นถึงผลกระทบจากการกระทำของคนหนึ่งคนที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตของผู้บริสุทธิ์อีกหลายคน

ซีรีส์ใหม่

The Frog กำกับโดย โม วานอิล ผู้เคยฝากผลงานไว้ในซีรีส์ชื่อดังอย่าง The World of the Married และ Misty พร้อมด้วยบทที่ถูกเขียนขึ้นโดยนักเขียนหน้าใหม่ ซน โฮยอง ที่มาพร้อมกับนักแสดงแถวหน้าอย่าง คิม ยุนซอก (จาก Escape from Mogadishu), ยุน คเยซัง (จาก Kiss Sixth Sense), โก มินชี (จาก Sweet Home) และ อี จองอึน (จาก Parasite) โดยยังมีนักแสดงสมทบที่มีชื่อเสียงอีกหลายคนเช่น คิม ซองรยอง (จาก The Call), โน ยุนซอ (จาก Our Blues) และ ชานยอล สมาชิกวง EXO (จาก Memories of the Alhambra) ทำให้การแสดงในซีรีส์เรื่องนี้ยิ่งน่าติดตาม

คิม ยุนซอก รับบทเป็น ยองฮา เจ้าของบ้านพักตากอากาศที่ตั้งอยู่ในป่าที่เงียบสงบ แต่ชีวิตของเขาต้องพังทลายเมื่อมีผู้หญิงลึกลับนามว่า ซองอา (รับบทโดย โก มินชี) ปรากฏตัวขึ้นที่บ้านพักของเขา ซางจุน (รับบทโดย ยุน คเยซัง) เคยเป็นเจ้าของโมเต็ลในพื้นที่เดียวกันเมื่อ 20 ปีก่อน ชีวิตของเขาและครอบครัวต้องเปลี่ยนไปตลอดกาลเมื่อเขาตัดสินใจให้แขกผู้มีลักษณะน่ากลัวเข้าพักที่โมเต็ลของเขา

สำหรับผู้ที่ชื่นชอบซีรีส์ทริลเลอร์ของเกาหลี The Frog อาจทำให้นึกถึงซีรีส์เรื่อง A Bloody Lucky Day ของ TVING ซึ่งได้รับความนิยมบน Paramount+ ทั้งสองเรื่องเริ่มต้นด้วยบรรยากาศที่สดใสและไม่รู้สึกถึงความน่ากลัว แต่กลับเปลี่ยนเป็นความน่าสะพรึงกลัวภายใน 3 ใน 4 ของตอนแรก ยิ่งไปกว่านั้น การแสดงของ อี จองอึน ในเรื่องนี้ก็มีความตั้งใจที่จะไล่ล่าตัวคนร้ายเหมือนกับบทบาทที่เธอเคยเล่นใน A Bloody Lucky Day เช่นเดียวกัน

แม้จะมีความคล้ายคลึงกันบ้าง เเต่ The Frog มีการเล่าเรื่องราวที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงกัน โดยใช้กลไกการดำเนินเรื่องที่ไม่เหมือนใคร และการใช้แสง สี และเสียงประกอบเพื่อสร้างบรรยากาศที่เหมาะสมกับแต่ละฉากอย่างยอดเยี่ยม อย่างไรก็ตาม ซีรีส์เรื่องนี้มีปัญหากับจังหวะที่ไม่สม่ำเสมอ พยายามที่จะทำให้เกิดความรู้สึกน่าสะพรึงกลัวในช่วงเริ่มต้นมากเกินไป ส่งผลให้เกิดการเล่าเรื่องที่ค่อนข้างช้า จนทำให้ผู้ชมอาจรู้สึกเบื่อได้ แต่หากคุณผ่านช่วงเริ่มต้นไปได้ ตั้งแต่ตอนที่ 4 เป็นต้นไป ซีรีส์เรื่องนี้จะเริ่มน่าสนใจมากขึ้น และตอนที่ 5 ก็ทำให้ผู้ชมติดตามได้อย่างต่อเนื่อง ตอนที่ 6 – 8 กลับทำให้รู้สึกคุ้มค่ากับการรอคอย แม้ว่าทั้งหมดอาจจะถูกบีบให้กระชับขึ้นเพียง 4 หรือ 5 ตอนเท่านั้นก็ตาม

การเล่าเรื่องใน The Frog เป็นไปอย่างไม่เป็นเส้นตรงสลับระหว่างเหตุการณ์ในช่วงต้นปี 2000 (ซึ่งเกี่ยวข้องกับซางจุนและครอบครัวของเขาที่โมเต็ลเลควิว) และช่วงต้นปี 2020 (ที่เกี่ยวข้องกับยองฮาและซองอา) สิ่งนี้อาจทำให้เกิดความสับสนในช่วงแรก แต่ซีรีส์นี้ก็สามารถทำให้ผู้ชมแยกแยะได้อย่างรวดเร็วระหว่างอดีตและปัจจุบัน โดยไม่ต้องบอกเวลาในฉากอย่างชัดเจน และถึงแม้ว่าในตอนแรกจะยังไม่ชัดเจนว่าเรื่องราวของซางจุนและยองฮาเกี่ยวข้องกันอย่างไร แต่ทุกอย่างก็จะถูกเชื่อมโยงกันอย่างลงตัวในครึ่งหลังของซีรีส์

เหมือนกับทริลเลอร์เกาหลีเรื่องอื่น ๆ The Frog สะท้อนประเด็นที่สำคัญในสังคมเกาหลีใต้ เช่น ความบกพร่องของระบบยุติธรรม ความรุนแรงในโรงเรียน และการใช้อำนาจในทางที่ผิดของชนชั้นสูง แม้ว่าซีรีส์เรื่องนี้จะมีช่องโหว่ในเนื้อเรื่องและตัวละครบางตัวที่ทำสิ่งที่ดูไม่สมเหตุสมผล แต่สิ่งนี้อาจจะเกิดขึ้นได้ในหนังทริลเลอร์หรือหนังสยองขวัญเรื่องใด ๆ ก็ตาม การแสดงที่ยอดเยี่ยมในครึ่งหลังของซีรีส์ทำให้เรื่องนี้คุ้มค่าที่จะรับชม

ในเรื่องนี้ ตัวละครหลายตัวใช้การเปรียบเทียบ “กบเคราะห์ร้าย” เพื่อบ่งบอกว่าคนเรามักจะสงสัยว่าทำไมสิ่งเลวร้ายต้องเกิดขึ้นกับพวกเขา ทำไมพวกเขาต้องเป็น “กบ” ที่ถูกหินขว้างโดน ? แต่ในความเป็นจริง ทุกคนคงเคยเผชิญกับความโชคร้ายที่เกินควบคุมในชีวิตกันมาบ้าง และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการที่เราตัดสินใจเผชิญหน้ากับสิ่งเลวร้ายเหล่านั้นอย่างไร ซึ่งสิ่งนี้เองก็เป็นข้อความหลักของ The Frog ที่จะบอกให้เราเห็น

<< ติดตามหนังดี ซีรีส์ดังก่อนใครได้ที่  www.uhdmax.net | www.inwiptv.com >>