เรื่องของลูกสาวผู้เจ็บแค้นที่พ่อถูกฆ่า จึงเปลี่ยนชื่อและสืบหาฆาตกรที่เกี่ยวข้อง
หลังจากการรอคอยมานับเดือน ผลงานใหม่ของฮันโซฮี สาวสวยที่เคยเป็นมาแล้วทั้งองค์มเหสี เมียน้อย หญิงสาวผู้คลั่งรัก แต่วันนี้ เธอจะพลิกบทบาทอีกครั้ง ด้วยการเป็นลูกสาวที่คั่งแค้นสืบหาคนที่ฆ่าพ่อ สวมรอยเป็นมันทั้งสองด้าน ทั้งตำรวจและนักเลง กับบทที่ไม่ค่อยได้แต่งหน้า ในซีรีส์ชื่อ My Name ชื่อไทยไม่มี เรียกทับศัพท์ไปว่า มาย เนม เลยก็แล้วกัน
ผลงานของผู้กำกับ คิมจินมิน ที่เคยสร้าง Extracurricular, Lawless Lawyer และ Marriage Contract บวกกับได้คนเขียนบทอย่าง คิมบาดา ที่เคยเขียนบทซีรีส์ Hero ส่วนเรื่องนี้มีฉายแบบสตรีมมิ่งทาง Netflix แบบขึ้นพร้อมกันรวดเดียวทั้ง 8 ตอน
ดูกันให้ตาแฉะไม่หลับไม่นอนกันไปข้างนึง
เรื่องย่อซีรีส์ My Name
ความสัมพันธ์ของ ยุนดงฮุน (Yoon Kyung Ho/ยุนกยองโฮ) ผู้เป็นพ่อกับลูกสาว ยุนจีอู (Han So Hee/ฮันโซฮี จากซีรีส์เรื่อง Nevertheless, 100 Days My Prince และ The World of the Married) ดูเหมือนจะไม่ราบรื่นนัก แต่ความห่างเหินก็ไม่เคยทำให้ความรักของสองพ่อลูกต้องลบเลือนไป ในวันที่พ่อถูกยิงตายหน้าประตู ลูกเจ็บปวดรวดร้าวจนเกิดความมุ่งมั่นต้องการแก้แค้น
พยายามขอความช่วยเหลือจากตำรวจ แต่ก็ไม่ได้รับการช่วยเหลือ เมื่อมองไม่เห็นว่าทางการจะช่วยอะไรเธอได้ บอกกับเบาะแสที่บอกว่าคนฆ่าพ่อเธอนั้นเป็นตำรวจ งานนี้เธอคงต้องสืบและล้างแค้นแทนพ่อด้วยตนเอง
และเธอเลือกจะเป็นตำรวจ!
ด้วยความช่วยเหลือของเจ้าพ่ออย่าง ชเวมูจิน (Park Hee Soon/พัคฮีซุน จากหนังเรื่อง The Witch: Part 1. The Subversion และ BA:BO ) เธอจึงเข้าไปทำงานค้ายาอยู่ในแก๊งดงชอน และหลังห้าปีผ่านพ้น จีอูเปลี่ยนชื่อตนเองแล้วเข้าไปอยู่ในแผนกยาเสพติด และได้เป็นคู่หูร่วมกับนักสืบจอนพิลโด (Ahn Bo Hyun/อันโบฮยอน จากซีรีส์เรื่อง Itaewon Class, Descendants of the Sun และ Yumi’s Cells) เธอกลายเป็นสายสืบคนใหม่ทั้งที่ทำงานเป็นตำรวจและเป็นคนของแก๊งค้ายาไปพร้อมกัน
ทุกสิ่งที่เธอทำไปเพื่อสืบหาตัวฆาตกรและล้างแค้นให้พ่อนั่นเอง
รีวิวซีรีส์ My Name
การพลิกบทบาทของฮันโซฮีในครั้งนี้ มีอะไรที่น่าสนใจหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น การได้เห็นเธอในบทดุๆ กับบทที่มีทั้งเรื่องการสืบคดีของตำรวจ การเอาตัวรอดของนางเอกที่ต้องปิดบังตัวตน และการห้ำหั่นกันของพวกนักเลงแก๊งค้ายาเสพติด เสริมทัพด้วยนักแสดงที่ไม่ค่อยได้ผ่านตาสักเท่าไรนัก มีฉากต่อสู้ที่มองเห็นได้ชัดว่าเธอฝึกซ้อมมาเป็นอย่างดี รวมทั้งยังได้ยินว่าเธอทำน้ำหนักขึ้นมาอีก 10 กิโลกรัม ทำให้ร่างดูแน่นขึ้นอีกด้วย
เดินเรื่องฉับไว ในตอนละ 45 นาที
เป็นเรื่องปกติไปแล้ว สำหรับซีรีส์เกาหลีที่มีเพียง 6-8 ตอน ที่มักจะทำให้เราต้องดูกันแบบมาราธอน ไม่อาจจะหยุดพักหายใจหายคอกัน เพราะยิ่งจำนวนตอนน้อย การเดินเรื่องก็ยิ่งกระชับฉับไว ปิดท้ายแต่ละตอนด้วยช็อตที่ชวนให้ดูต่อ หลายคนจึงพบว่า เมื่อได้เปิดมาดู มาย เนม เรื่องนี้ พวกเขาไม่สามารถหยุดดูได้ ถึงขั้นต้องอดหลับอดนอนเพื่อจะติดตามไปให้ถึงตอนจบกันเลยทีเดียว
พล็อตแนวสองตัวตน ทำงานได้ดีเสมอ
ดูเหมือนว่าซีรีส์เรื่องไหนที่เล่าเรื่องแนวๆ ตัวเอกที่ต้องแฝงตัวหรือแทรกซึมในองค์กร หรือทำตัวเองต้องปิดบังตัวตน เป็นคนสองหน้าที่เสี่ยงจะถูกเปิดเผยตัวตน ยังคงเป็นพล็อตที่ชวนติดตามได้ตลอด เพราะผู้คนคงพยายามเอาใจช่วยตัวเอกให้รอดพ้นไปตลอดทาง กับอีกส่วนก็คือลุ้นว่า ความลับของตัวเอกจะถูกเปิดเผยวันใดและอย่างไร
ส่วนในซีรีส์เรื่องนี้ นางเอกจะต้องปิดบังว่าชื่อจริงของเธอเป็นใคร เข้ามาอยู่ในองค์กรตำรวจด้วยจุดประสงค์ใด เธอมีสองตัวตน หนึ่งเป็นตำรวจตรวจจับการค้ายาเสพติด อีกส่วน เธอทำงานอยู่กับองค์กรค้ายารายใหญ่ ทั้งเธอยังจำเป็นต้องอยู่ทั้งสองที่เพื่อสืบหาฆาตกรที่ฆ่าพ่อของเธอ เบาะแสแต่ละอย่างทำให้เธอเข้าใกล้ตัวฆาตกรมากขึ้น
แต่ขณะเดียวก็ความเสี่ยงจะถูกเปิดเผยตัวตนก็ยิ่งมากขึ้นเช่นกัน
ฮันโซฮีทุ่มสุดตัว ไม่ห่วงสวยแต่ก็ยังสวย
งานนี้ เราน่าจะเห็นตรงกันหลายๆ คนว่า ในทุกฉาก ฮันโซฮี แทบจะไม่แต่งหน้า เรามักจะมองเห็นเส้นเลือดฝอยบนใบหน้าของเธอได้ชัดเจน หลายฉาก เธอจะมีแต่เมกอัปของใบหน้าที่เป็นแผล เปื้อนเลือด และสะบักสะบอม เป็นซีรีส์ที่เราได้เห็นซีนพะบู๊ของเธอบ่อยครั้งมาก ทำให้มองเห็นว่า เธอน่าจะทำการบ้าน เรียนการต่อสู้และฝีกซ้อมมามากพอสมควร ทั้งยังเพิ่มน้ำหนักตัวเองเพื่อให้ดูบึกบึนมีเนื้อมีหนังเพื่อให้เหมาะกับบท มองเห็นเลยว่า เธอทุ่มสุดตัวจริงๆ
ในขณะที่บางฉากต้องเล่นกับอารมณ์ ไม่จะเป็นช่วงสะเทือนใจที่เห็นพ่อตายไปต่อหน้าต่อหน้า ช่วงที่สมองของเธอนึกภาพถึงวันที่พ่อลูกนั่งกันอยู่ริมชายหาด หรือแม้แต่ในวันที่บีบคั้นเมื่อได้รับรู้ความจริงที่ยากจะยอมรับมัน เธอไม่ได้ดีแต่ไปวันๆ อย่างแน่นอน
ผู้ชมเอง นอกจากจะได้ลุ้นสนุกไปกับตัวละครแล้ว ก็ยังได้สนุกกับการคาดเดาความจริงล่วงหน้าก่อนจะถึงเวลาเปิดเผย แม้ว่าจะมีความเป็นไปได้หลายทาง อาจมีตัวเลือกโน่นนี่นั่นเข้ามา แรงจูงใจของหลายคนก็อาจมากพอให้คิดเช่นนั้น
และเชื่อว่าหลายคนอาจเดาได้ถูก เพราะมันก็ไม่ได้ยากขนาดนั้น
สำหรับใครที่ยังสงสัยในตัวเองอยู่ว่าจะเปิดดูซีรีส์เรื่องนี้ดีหรือไม่ ก็คงต้องลองเปิดใจตัวเองดู แล้วก็อาจจะพบตัวเองนั่งดูเรื่องนี้อย่างไม่วางตา จบตอนนี้ ต่อตอนใหม่ ไล่ไปจนกว่ามันจะจบเหมือนผมก็ได้นะ