[รีวิว] “Thunder Force” ธันเดอร์ฟอร์ซ ขบวนการฮีโร่ฟาดฟ้า | สองคุณป้าเพื่อนซี้รวมพลังกู้โลก
ในโลกที่มนุษย์อยู่ด้วยกันป็นพันล้าน จะมีเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นที่โดดเด่นเหนือกว่าคนอื่นๆ ไม่ว่าจะมีความสามารถ สติปัญญาเฉียบแหลม หรือตักตวงเงินทองได้มากมายจนกลายเป็นมหาเศรษฐี แต่ก็หาได้เจอผู้ใดที่มีความมีพลังเหนือมนุษย์ไม่ ซูปเปอร์ฮีโร่จึงเป็นอะไรที่ผู้คนมักชอบนึกผันกันเล่นๆ ว่าอยากจะเป็นอย่างนั้นบ้าง ดังนั้นหนังยอดมนุษย์จึงถูกสร้างสรรค์ขึ้นอย่างไม่ขาดสาย รวมทั้งหนังที่สร้างขึ้นมาเพื่อฉายในเน็ตฟลิกซ์ด้วย วันนี้ เราจะพูดถึงหนังเรื่องนี้ “Thunder Force” ธันเดอร์ฟอร์ซ ขบวนการฮีโร่ฟาดฟ้า
ภาพยนตร์ที่ถูกเขียนบทและกำลังกับโดย Ben Falcone เจ้าของผลงานอย่าง Superintelligence, Life of the Party; The Boss และ Tammy (หลายเรื่องอาจจะไม่คุ้นเพราะแน่นอน หนังไม่เคยเข้าฉายในไทยสักเรื่อง) และก็มักจะได้ร่วมงานกับ Melissa McCarthy จนมาถึงเรื่องนี้ เขาก็ใส่บทให้เธอเป็นตัวเอก เล่นคู่กันไปกับดาราสาวผิวสีเจ้าบทบาทอย่าง Octavia Spencer
และหนังเรื่องนี้จะเข้าฉายในระบบสตรีมมิ่งอย่าง Netflix โดยเฉพาะ
ตัวอย่าง Thunder Force
เรื่องย่อหนัง Thunder Force
เรื่องมันเริ่มตรงที่ว่า โลกเราในปี 1983 ถูกรังสีคอสมิกพุ่งชนโลกจนก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมกับมนุษย์บางคนที่ส่วนใหญ่เป็นพวกมีพฤติกรรมต่อต้านสังคม พวกเขาถูกเรียกว่า มิสเครัยนท์ และพ่อแม่ของ เอมิลี่ สแตนตัน (Octavia Spencer จากหนังเรื่อง The Help, Hidden Figures และ ma) ก็เสียชีวิตไปเพราะคนพวกนี้ ทำให้เธอตั้งใจจะเติบโตขึ้นมาสานต่อความคิดของพ่อแม่ นั่นคือ การหยุดยั้งมิสเครียนท์ให้จงได้
วัยเด็กของเธอมีเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ต่างสีผิวกัน แต่ต่อมาก็กลับทะเลาะกัน และไม่ได้พบเจอกันอีกเลย จนโตมามีงานเลี้ยงรุ่น ทั้งสองจึงได้มาพบกันอีกครั้ง เพื่อนคนนั้นคือ ลิเดีย เบอร์แมน (Meliss McCarthy จากหนังเรื่อง Spy, Bridemaids, Ghostbusters)
และความจุ้นจ้านของลิเดียในวันที่เธอได้พบเอมิลี่ผู้ที่ตอนนี้เป็นประธานในบริษัทยักษ์ใหญ่ เธอบังเอิญไปอยู่ในทดลองการเปลี่ยนแปลงระบบพันธุกรรมของร่างกายเพื่อเป็นยอดมนุษย์ ทำให้เธอกลายเป็นหญิงจอมพลัง ในขณะที่เอมิลี่เหลือเพียงความสามารถด้านการล่องหน อาวุธที่เธอจะใช้ได้ก็มีเพียงเครื่องช็อตไฟฟ้าชนิดใหม่เท่านั้น
ในที่สุด เธอทั้งสองก็ต้องมาร่วมกันเพื่อปราบเหล่ามิสเครียนท์ที่ป่วนเมืองให้สิ้นซาก
รีวิวหนัง ธันเดอร์ฟอร์ซ ขบวนการฮีโร่ฟาดฟ้า
หนังที่เล่าเรื่องของกลุ่มยอดมนุษย์หญิงที่แบ่งความสามารถกันแบบไม่เท่ากันสักเท่าไหร่ แต่ก็ขาดกันไม่ได้ เหมือนต่างคนก็มีดีกันคนละอย่างทำนองว่าเพื่อนกัน มันต้องพึ่งพาอาศัยกัน และต่างคนต่างก็มีในสิ่งที่อีกคนหนึ่งขาด เติมเต็มซึ่งกันและกันงิ
เรื่องราวแอบแตะวงการเมืองนิดๆ
แถมหนังยังเล่าไปถึงเรื่องแวดวงการเมือง ที่นักการเมืองฝั่งหนึ่งเลือกจะกว้านเอามิสเครียนท์ไปเป็นพวก ให้พลังพิเศษเหนือมนุษย์ของพวกเขามาก่อกวนสร้างสถานการณ์ความเดือดร้อนวุ่นวายให้กับผู้คนในสังคม แล้วเรียกคะแนนเสียงไปอยู่กับฝั่งตน นัยว่า ยัดเยียดความเดือดร้อนให้กับผู้คนเพื่อกดให้พวกเขามองเห็นทางออกเดียว นั่นคือการเลือกพวกตน แต่ไปๆ มาๆ ก็ยังนำไปใช้แค่พอถูๆ ไถๆ ไม่ได้ลงลึกอะไรนัก นัยว่าต้องการจะทำให้มันเป็นหนังเบาสมอง เน้นเล่นมุกตลกขำขันของเหล่านักแสดงเสียมากกว่า
แต่ทำไปทำมา ดูจนจบเรื่องแล้วก็ยังหาเสียงหัวเราะให้กับตัวเองไม่ได้
แวะมาดูเหล่ามิสเครียนท์กันหน่อยซิ
ตัวละครกลุ่มนี้ จะไม่กล่าวถึงก็คงจะไม่ได้ ไล่กันไปตั้งแต่ เดอะแคป หรือ กามปู (Jason Bateman จากซีรี่ส์ Ozark และหนังเรื่อง Game Night) ชายที่เป็นลูกครึ่งคนครึ่งเครียนท์ ดูไม่มีพลังอะไรมากนักนอกจากมีแขนและมือเป็นปู ถ้าจะเอาเรื่องพลังคงต้องเป็น เลเซอร์ (Pom Kiementieff หรือแมนทิสจาก Avengers: Endgame นั่นเอง) ความสามารถเธอเรียกสายฟ้าด้วยท่าทางร่ายรำคล้าย Wanda เธอจึงกลายเป็นสมุนตัวเอ้ของผู้สมัครเข้าชิงตำแหน่งนายกเทศมนตรีอย่าง เดอะคิง (Bobby Cannavale จากเรื่อง Ant-Man และ Blue jasmine)
ในฝั่งของตัวเอก เอาจริง ก็ยังมีตัวละครอีกตัวที่มาร่วมในขบวนการนี้ด้วย นั่นคือ เทรซี่ (Taylor Mosby จากซีรี่ส์ Criminal Minds) ลูกสาวที่ก็ฉลาดล้ำไม่แพ้เอมิลี่ผู้เป็นแม่เช่นกัน เธอเข้ามาอยู่ในทีม คอยช่วยเหลือแอลลี่ (Melissa Leo จากหนัง Prisoners, Snowden และ The Fighter) ที่เป็นทีมสนับสนุนคอยดูแลมอนิเตอร์ระหว่างเอมิลี่และลิเดียออกปฎิบัติภารกิจ
ดูได้พอเพลินๆ ฆ่าเวลา หาความตลกชวนหัวเราะได้ยาก เริ่มสนุกขึ้นมาบ้างช่วงไคลแมกซ์
ก่อนจะดูก็คาดหวังความสนุกเอาไว้พอสมควร ในฐานะที่มันเป็นไซไฟสไตล์ซูเปอร์ฮีโร่ แต่เท่าที่ดูเหมือนหนังพยายามจะใส่มุกตลกให้กับตัวละครทั้งหลักทั้งประกอบมายมาย ทว่าก็เหมือนเราจะไม่เก็ทกับมุกเหล่านี้ เลยไม่ได้รู้สึกขบขันไปกับพวกเขาด้วย
ในพาร์ทของแอคชั่นก็สามารถทำให้สนุกไปได้ประมาณหนึ่ง เทคนิคด้านภาพเมื่อรับชบผ่านจอทีวีถือว่าเข้าขั้นอยู่ ขณะที่เรื่องราวมันพลิกผันเซอร์ไพรส์อะไรที่คุ้นเคยมา กลายเป็นหนังที่ไม่ได้เท่ากับที่คาดหวัง พอดูได้เพียงเพลินๆ และพอจะสนุกขึ้นมาบ้างในช่วงไคลแมกซ์