slider2
slider2
previous arrow
next arrow
A Quiet Place : Day One เมื่อความเงียบกลายเป็นอาวุธและภารกิจของการมีชีวิตอยู่

A Quiet Place : Day One เมื่อความเงียบกลายเป็นอาวุธและภารกิจของการมีชีวิตอยู่

ในบรรดาหนังระทึกขวัญที่สร้างแรงกดดันทางอารมณ์ให้กับผู้ชม A Quiet Place ถือเป็นหนึ่งในแฟรนไชส์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ด้วยการเล่นกับ “ความเงียบ” และ “ความกลัวที่มองไม่เห็น” ได้อย่างแยบยล

A Quiet Place : Day One

เมื่อ A Quiet Place : Day One ออกฉาย มันไม่ได้เป็นเพียงแค่หนังภาคต้นที่เล่าเรื่องราวก่อนเหตุการณ์ในภาคแรก แต่ยังเป็นบทบันทึกที่เจาะลึกถึงวันแรกที่โลกพังทลายและสำรวจคำถามที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับชีวิต ความตาย และการอยู่รอด

ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดย ไมเคิล ซาร์โนสกี (Michael Sarnoski) ซึ่งเคยฝากผลงานไว้กับหนังอินดี้คุณภาพอย่าง Pig (2021) ที่เน้นการเล่าเรื่องแบบเงียบขรึมและลึกซึ้ง ทำให้ Day One มีความแตกต่างจากสองภาคก่อนหน้า

หนังไม่ได้มุ่งเน้นไปที่ครอบครัวแอ็บบ็อตต์ แต่เปลี่ยนมุมมองมาที่ตัวละครใหม่อย่าง แซม (ลูพิตา นียองโก) หญิงสาวที่กำลังต่อสู้กับโรคร้ายและดูเหมือนไม่ได้มีชีวิตอยู่นานพอจะเห็นวันสิ้นโลก แต่เธอกลับต้องมาเผชิญกับวันแรกของหายนะที่ไม่มีเสียง พร้อมกับแมวคู่ใจ โฟรโด ที่กลายเป็นตัวแทนของความหวังและความเป็นมนุษย์ท่ามกลางความสิ้นหวัง

สิ่งที่ Day One ทำได้ดี คือ การนำเสนอโลกในช่วงวินาทีแรกที่มันแตกสลาย ขณะที่สองภาคก่อนหน้านี้เรารู้จักโลกที่เงียบงันไปแล้ว แต่ภาคนี้พาผู้ชมไปสัมผัสความโกลาหล ความตื่นตระหนก และการดิ้นรนของผู้คนที่ไม่รู้ว่าพวกเขากำลังเผชิญหน้ากับอะไร เมืองนิวยอร์กที่เคยเต็มไปด้วยเสียงแตรรถ เสียงผู้คน และความคึกคักของมหานคร กลับกลายเป็นสถานที่ที่การกระซิบเพียงนิดเดียวอาจหมายถึงความตาย

ลูพิตา นียองโก ถ่ายทอดอารมณ์ของตัวละครได้อย่างยอดเยี่ยม เธอไม่ได้เล่นเป็น “ฮีโร่” แบบที่เราเห็นในหนังแนวเอาตัวรอดทั่วไป แต่เป็นคนที่อ่อนแอ ท้อแท้ และเคยหมดศรัทธาในชีวิต ก่อนที่เธอจะได้เรียนรู้ว่า แม้ชีวิตจะอยู่บนเส้นด้าย แต่เรายังสามารถหาความหมายของมันได้

ไม่ว่าจะอีกกี่ชั่วโมงหรือกี่วันก็ตาม ความสัมพันธ์ของเธอกับแมวโฟรโดกลายเป็นหัวใจสำคัญของหนังและเป็นตัวแทนของ “ความผูกพัน” ที่มนุษย์ต้องการแม้ในยามที่โลกกำลังล่มสลาย

การกำกับของซาร์โนสกีนั้นให้ความรู้สึกต่างออกไปจากภาคก่อน เขาใช้เวลามากขึ้นในการพาผู้ชมดื่มด่ำกับอารมณ์ของตัวละครและให้ความสำคัญกับช่วงเวลาที่เงียบสงัด ซึ่งบทภาพยนตร์เลือกที่จะไม่เร่งจังหวะ แต่ให้ความสำคัญกับการเดินทางทางอารมณ์และความสัมพันธ์ของตัวละครมากกว่าการไล่ล่าหรือฉากแอ็กชัน

ด้านเทคนิคเสียง ยังคงเป็นหัวใจของแฟรนไชส์นี้ การใช้ “ความเงียบ” เพื่อสร้างแรงกดดันยังคงทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เสียงฝีเท้าเบา ๆ การหายใจ หรือเสียงกุกกักเล็กน้อย ถูกนำมาใช้เป็นจังหวะสำคัญที่ทำให้ผู้ชมต้องกลั้นหายใจไปพร้อมกับตัวละคร โดยเสียงของมหานครที่ค่อย ๆ ถูกแทนที่ด้วยความเงียบ กลายเป็นหนึ่งในภาพที่น่าสะพรึงกลัวที่สุด

อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ชมบางคน Day One อาจไม่ใช่หนังระทึกขวัญแบบที่คาดหวัง ภาคนี้มีจังหวะที่ช้ากว่า และไม่ได้เน้นไปที่ฉากลุ้นระทึกมากเท่าภาคก่อน บางคนอาจรู้สึกว่าเนื้อหาค่อนข้างหนักไปทางดราม่าและไม่ได้มีการเปิดเผยข้อมูลใหม่เกี่ยวกับที่มาของสิ่งมีชีวิตต่างดาวหรือแนวทางการเอาชีวิตรอดในอนาคต

แต่สิ่งที่หนังทำได้ดีมาก คือ การตั้งคำถามว่า เราต้องการมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร ? เพราะสำหรับแซม การอยู่รอดไม่ใช่เพียงการหนีตาย แต่เป็นการค้นหาความหมายของการใช้เวลาที่เหลืออยู่ การเดินทางของเธอไม่ได้เกี่ยวกับการเอาตัวรอดจากเอเลี่ยนเท่านั้น แต่เกี่ยวกับการเรียนรู้ว่า ใครบางคน หรือ บางสิ่ง อาจมีค่ามากพอที่จะทำให้เรายังต้องการมีชีวิตอยู่ต่อไป

<< ติดตามหนังดี ซีรีส์ดังก่อนใครได้ที่  www.uhdmax.net | www.inwiptv.org >>