slider2
slider2
previous arrow
next arrow
[รีวิวหนัง] Love and Monsters | ผจญภัยหลังโลกล้มสลาย ไปหาสุดที่เลิฟ

เรื่องของหนุ่มที่รู้สึกไร้ค่าแต่ดันเลือกเดินทางเดี่ยว ผจญภัยสัตว์ร้ายเพื่อไปหาสาวคนรัก

หลังจากกลับมาประจำการอีกครั้ง หน้าจอก็เริ่มกลับมาเป็นหนังและซีรีส์ที่เราอยากดูอีกครั้ง แต่ก็เช่นเคย เรื่องที่เก็บใส่ ‘ลิสต์ของฉัน’ ไว้มักจะกลายเป็นสิ่งที่ถูกเมินเมื่อเจอหนังที่ถูกเลือกขึ้นมาเสมอ ๆ วันนี้ จึงขอลัดคิวหยิบหนังมอนสเตอร์เรื่องใหม่ใน Netflix ขึ้นมาพูดถึงเสียก่อน ก่อนที่จะมันจะเก่าเกินไป ‘เลิฟ แอนด์ มอนสเตอร์’ คือชื่อไทยที่จัดได้ว่าตรงตัวของหนัง ‘Love and Monsters’ หนังที่เล่าเรื่องราวที่เคล้ารวมทั้งแฟนตาซี ไซไฟผจญภัย วัยรุ่น แถมยังเป็นหนังครอบครัวได้อีกด้วยนะ

ภาพจากหนัง เลิฟ แอนด์ มอนสเตอร์

ผลงานจากผู้กำกับอย่าง Michael Matthews ที่เคยกำกับ “Five Fingers for Marseilles” ที่เป็นหนังระทึกขวัญย้อนยุคมาก่อน และเคยเป็นทั้งโปรดิวเซอร์และผู้กำกับของหนังสั้นอีกสองเรื่อง แน่นอนว่าชื่อเสียงของเขาคงไม่สูงส่งมากมายนัก แต่ครั้งนี้ เขาได้งานที่ต้องเล่นกับเอฟเฟกต์ มีความแฟนตาซีผจญภัย แถมยังได้ทำงานกับนักแสดงที่ผ่านหนังใหญ่มาพอสมควร

แม้จะไม่ได้ดูในโรง แต่พอมันเข้าฉายในระบบสตรีมมิ่งก็ต้องลองดูสักหน่อยล่ะ
ตัวอย่างจากหนัง เลิฟ แอนด์ มอนสเตอร์

เรื่องย่อหนัง Love and Monsters

เมื่อโลกเผชิญเหตุดาวเคราะห์น้อยนาม อากาธา 616 ที่เตรียมโหม่งชนโลก มนุษย์จึงร่วมมือกันระดมยิงทุกอย่างเข้าใส่หมายทำลายให้แหลกเป็นจุล แต่มันไม่ใช่อย่างนั้น เพราะสารพิษทุกอย่างร่วงหล่นตกสู่พื้นผิวโลก ในที่สุด สัตว์หลายชนิดก็กลายพันธุ์ขยายใหญ่จนโลกนี้กลายเป็นโลกของมอนสเตอร์ และกลายเป็นว่า มนุษย์เริ่มเข้าใกล้คำว่าสูญพันธุ์

ที่เหลือรอดก็รวมกลุ่มกันเป็นโคโลนี
ภาพจากหนัง เลิฟ แอนด์ มอนสเตอร์

โจเอล (Dylan O’Brien จาก The Maze Runner) เด็กหนุ่มผู้ดำรงชีวิตเป็นพ่อครัวอยู่ในโคโลนีแห่งหนึ่งใต้ดิน เขารู้สึกไร้ค่าไร้ประโยชน์ และแรงบันดาลใจของเขาเพียงหนึ่งเดียวคือ เอมี่ (Jessica Henwick จากซีรีส์เรื่อง Game of Thrones และ Iron Fist และหนังเรื่อง Star Wars: Episode VII-The Force Awakens) หญิงสาวที่เขาคบหาเมื่อ 7 ปี เขาอาศัยเครื่องวิทยุสื่อสารเพื่อคอยติดต่อกับเธอจนได้รู้ว่าเธออยู่ที่อีกโคโลนีหนึ่งที่ห่างออกไป 85 ไมล์จึงคิดจะเดินทางตัวคนเดียวไปหาเธอ

ทั้งที่รู้ว่าข้างนอกเต็มไปด้วยมอนสเตอร์น่าหวาดกลัวรออยู่

สมาชิกของโคโลนีที่ถูกประคบประหงมให้อยู่แต่ด้านใน ไม่เคยได้รับโอกาสออกต่อสู้กับเหล่ามอนสเตอร์จู่ๆ ก็ขึงขังออกนอกหลุมไปเผชิญอันตรายภายนอก เพื่อตามหาหญิงอันเป็นที่รัก ช่างเป็นวีรกรรมที่กล้าหาญยิ่ง

แต่ก็เป็นความคิดที่บ้าบิ่นไม่น้อยเลย
ภาพจากหนัง เลิฟ แอนด์ มอนสเตอร์

รีวิวหนัง เลิฟ แอนด์ มอนสเตอร์

เป็นหนังที่ไม่ได้คาดหวังอะไรมากนักตอนเริ่มดู เห็นว่าพล็อตและภาพมันดูน่าสนใจเลยเปิดเข้าไปดู จึงได้พบว่าหนังมีนักแสดงที่คุ้นเคยอยู่มากมายหลายคน แถมซีจียังค่อนข้างดีไม่มีลอย พล็อตอาจจะดูเบาบางแต่ดำเนินเรื่องได้บันเทิงน่าติดตามอยู่ เราลองมาดูว่า มีอะไรให้พูดถึงในหนังเรื่องนี้บ้าง?

เป็นหนังที่มีความเป็นไซไฟ แต่ใช้จินตนาการแบบแฟนตาซี

เริ่มต้นด้วยการเล่าที่มาที่ไปของโลกที่เกิดขึ้นในหนัง ดาวเคราะห์น้อยที่ลอยมาใกล้ชนโลก และมนุษย์ก็ใช้เทคโนโลยีทางทหารของเราเอง ระดมยิงจรวดที่เต็มไปด้วยสารเคมีที่สุดท้ายก็ตกลงบนโลก ส่งผลให้สิ่งมีชีวิตมีโครงสร้างเปลี่ยนไป ตัวบทเลือกให้สัตว์ที่กลายพันธุ์ต้องเป็น “พวกเลือดเย็น’เท่านั้นด้วยนะ นั่นหมายความ ‘พวกเลือดอุ่น’ จะกลายเป็นอาหารของพวกมันทันที

ส่งผลให้มนุษย์และสุนัขกลายเป็นส่วนล่างสุดของห่วงโซ่อาหาร

เอาจริงๆ ก็ชวนสงสัยอยู่เหมือนกันว่า ทำไมผลของสารเคมีในจรวดที่ร่วงหล่นลงมาจึงมีผลเฉพาะสัตว์เลือดเย็น ทำให้มนุษย์ที่เคยเป็นผู้ล่า เป็นส่วนบนสุดของห่วงโซ่อาหารถูกพลิกกลับไปเป็นใต้สุดไปโดยปริยาย เดาๆ เอาว่า เขาคงต้องการสร้างโลกในหนังใหม่ให้เป็นมนุษย์ที่ต้องเอาตัวรอดจากเหล่ามอนสเตอร์ตัวยักษ์ แถมยังเสี่ยงสูญพันธุ์หลังมนุษย์ตกตายไปแล้วถึง 95% ใน 1 ปี

โปสเตอร์จากหนัง เลิฟ แอนด์ มอนสเตอร์

หนังเซ็ตให้เด็กหนุ่มผู้ที่ดูไร้คุณค่า (จริงๆ ก็มีแต่เขาไม่ค่อยมองมันอย่างภาคภูมิใจ) ไม่เคยจับอาวุธขึ้นสู้จริง ให้ต้องลุกขึ้นมาจากหลุมบังเกอร์ และเดินเท้าคนเดียวออกไปในพื้นที่ที่เป็นป่า ทุ่งหญ้า ที่อาจมีสัตว์ประหลาดยักษ์ซุกซ่อนอยู่ โดยที่เขาไม่รู้จักมันเลย ไม่รู้เลยว่าจะป้องกันตัวยังไง ยิงหน้าไม้ก็ไม่เป็น ไม่มีคู่หูคอยระวังและช่วยเหลือ

มองยังไงก็เป็นภารกิจฆ่าตัวตายชัดๆ

หนังผจญภัยที่เต็มไปด้วยนักแสดงที่เราคุ้นหน้า

นอกเหนือจาก Dylan O’Brien ที่รับบทโจเอล พระเอกหนุ่มผู้เดินทางตามหารักแท้ผ่านดงมอนสเตอร์ จะเคยแสดงหนังดังที่คนไทยคุ้นเคยอย่าง The Maze Runner ทั้งสามภาคแล้ว เขาก็ยังเล่นหนัง Deepwater Horizon, American Assassin, พากย์เสียงเป็นบัมเบิลบีในหนัง Bumblebee และซีรีส์ Teen Wolf อีกด้วยนะ คนไทยจึงน่าจะคุ้นหน้าคุ้นตาพ่อหนุ่มดีแลนเป็นอย่างดี แต่นักแสดงคนอื่นนี่สิ คนดูน่าจะเคยผ่านตา แต่อาจจะไม่แน่ใจ

ที่จริงพวกเขามีงานดัง ๆ กันหลายคนเลยนะ
ภาพจากหนัง เลิฟ แอนด์ มอนสเตอร์

เริ่มกันที่คนแรก สาวสวยที่โจเอลหลงรักมานานและทำให้เขาออกจากบังเกอร์ฝ่าอันตรายไปหา เอมี่ เป็นนางเอกสาวหน้าเอเชียนาม Jessica Henwick เธอเคยเล่นเป็น Colleen Wing ในซีรีส์ Iron Fist และ The Defenders เคยได้รับบท Nymeria Sand ในซีรีส์ยอดนิยม Game of Thrones แถมยังเคยเป็นนักบินยานเอ็กซ์วิง Jessika Pava ในหนัง Star Wars: The Force Awakens อีกด้วย

ในระหว่างการเดินทางของโจเอล เขาผู้ที่ไม่มีทักษะที่เหมาะกับการอยู่รอดนอกโคโลนีใดๆ กลับได้พบกับสองลุงหลานที่ช่วยสอนให้เขาเรียนรู้หลายสิ่งไคลด์ (Michael Rooker) และมินโนว์ (Ariana Greenblatt) สองคนนี้ก็เคยเจอกันใน Guardians of the Galaxy ในบทของยอนดูและกาเมร่าตัวน้อย

เด็กหนุ่มผู้โชคดีเหลือหลายฝ่าอันตรายรอบด้านเดินทาง 85 ไมล์ไปหาสาว

เอาเข้าจริง ก็คงไม่มีใครเชื่อหรอกว่า โจเอลจะเอาตัวรอดได้ถึงเจ็ดวันนอกบังเกอร์ เพราะเขาไม่เคยต่อสู้ ไม่เคยยิงปืนผาหน้าไม้ และเคยเจอมอนสเตอร์เพียงตัวเดียวเท่านั้นแถมไม่ได้ฆ่าเองอีกต่างหาก

แต่เพราะเรื่องราวมันมีตัวช่วยเข้ามาหาโจเอลหลายสิ่งหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น…
ภาพจากหนัง เลิฟ แอนด์ มอนสเตอร์

สุนัข

ใครจะคิดว่าโจเอลจะได้เจอกับเจ้า ‘Boy’ สุนัขที่(โคตร)แสนรู้ เจ้าสุนัขสีน้ำตาลที่ฟังโจเอลออกได้ทุกอย่าง แถมยังมีทักษะการเอาตัวรอดเป็นเยี่ยม มันเคยช่วยโจเอลจากสัตว์ประหลาดกบยักษ์ จนทำให้สองสายพันธุ์กลายมาเป็นเพื่อนร่วมทางค่อยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ความน่ารักแสนรู้ของเจ้า ‘Boy’ นี่แหละที่ทำให้หนังเดินเรื่องได้อย่างมีสีสัน น่ารัก ชวนยิ้ม ทั้งยังพาไปเจอความระทึกขวัญระคนประหลาดใจได้อีกด้วย

สองลุงหลาน

การดำรงชีวิตอยู่กลางป่าเขา อาจเข้าใกล้บ้านคนบ้าง แต่ไม่ใช่อะไรที่คุ้นเคยเลย เพราะโจเอลอยู่ในบังเกอร์มานานมาก แถมยังไม่เคยรับมือกับเหล่ามอนสเตอร์เลย ทำให้มองยังไงก็ไม่น่าจะอยู่รอดได้ แต่นอกจากเจ้า ‘Boy’ แล้ว เขาก็ยังได้เจอกับไคลด์และมินโนว์ ที่ทำให้เขาได้เรียนรู้การเอาตัวรอดในโลกภายนอกนี้ได้ด้วยหลักสูตรเร่งรัด น่าเสียดายเล็กๆ ที่อาจไม่ค่อยมีเวลาให้รู้สึกถึงความผูกพันของพวกเขามากเท่าที่ควรแฮะ

Ariana Greenblatt Interview: Love and Monsters | Screen Rant

สมุดวาดภาพ

ความสามารถอย่างหนึ่งนอกเหนือจากเป็นพ่อครัวของโคโลยีของโจเอล ก็คือ การวาดภาพ เขาเคยได้ดินสอสีจากเอนี่ เขามีสมุดวาดภาพเล่มหนึ่งที่เอาติดตัวไปตลอด เมื่อเขาพบเจอกับมอนสเตอร์ตัวใหม่ เขาก็จะวาดมันลงสมุด พร้อมใส่ข้อมูลที่ได้จากการปะทะกับมัน จากเจ้า ‘Boy’ และจากไคลด์-มินโนว์ เป็นการบ่งบอกว่า เขาไม่ใช่คนไม่มีความสามารถ แค่ต้องการโอกาสในการหยิบออกมาใช้ประโยชน์เท่านั้นเอง

เมวิส

เอโอที่โจเอลเฝ้าคิดถึงมาเนิ่นนาน แต่เขาก็ได้พบเข้าโดยบังเอิญ นอกจากจะได้พูดคุยในสิ่งอันทรงคุณค่า เมวิสก็ยังได้ให้สิ่งสุดท้ายที่พาให้เขาเข้าได้เข้าใจความเป็นจริงของชีวิต เปลี่ยนหัวใจของโจเอลไม่ให้จมดิ่งอยู่กับภาพฝัน

เดินเรื่องสนุกซีจีเข้าที่มีองค์ประกอบมากพอจะเป็นหนังที่พาบันเทิงได้

มันคือเรื่องราวของชายหนุ่มที่ชีวิตของเขาต้องสูญเสียทุกอย่าง หลังโลกพบการมาถึงของดาวเคราะห์น้อย สูญเสียพ่อแม่ไปตลอดกาล พลัดพรากจากคนรักนานราว 7 ปี ดำรงชีวิตอยู่ในหลุมบังเกอร์ด้วยความรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า แต่เขามีความสามารถในการทำอาหาร วาดภาพ วิทยุสื่อสาร และมีความรักที่ปักใจ และสิ่งสุดท้ายนี่แหละที่ผลักดันให้เขาเลือกจะทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด ออกไปข้างนอกคนเดียวทั้งที่ไม่มีความรู้และประสบการณ์อะไรเลย เพื่อตามหาหญิงคนรักที่เขารู้ว่าอยู่ที่ไหน

ออกเดินทางโดยไม่มีเข็มทิศ มีแค่แผนที่ที่ไร้ประโยชน์ ไม่ได้ใช้ แต่พบพานตัวช่วยมากมายและอาจมากพอให้เขาไปถึงจุดหมายได้

หนังเดินเรื่องด้วยองค์ประกอบที่เรียกได้ว่า อำนวยและอวยตัวเอกอย่างเหลือเชื่อ แต่สามารถสร้างความสนุกและบันเทิงให้กับคนดูได้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการสุนัขแสนรู้ที่ร่วมเดินทางที่พาให้คนดูทิ่งไปกับพฤติกรรมของมัน แถมมันยังเข้าคู่กันดีกับโจเอลเสียอีกด้วย ขณะที่มอนสเตอร์ชนิดหนังก็คือลิงก์กับสิ่งมีชีวิตที่คนดูรู้จักอยู่ก่อนแล้ว แถมยังใส่คาแรกเตอร์ให้กับพวกมันสร้างสีสันที่ทำให้เป็นการผจญภัยที่คนดูก็นึกไม่ถึง ประกอบซีจีที่ดีเกินจะกว่าจะเป็นหนังครอบครัวที่สร้างมาเพื่อให้ดูบนหน้าจอทีวี เพราะหนังเรื่องนี้ ตั้งใจจะสร้างมาเพื่อฉายโรง โปรดักชั่นของหนังเรื่องนี้จึงดีเกินหน้าหนังหลายเรื่องอยู่ ส่วนองค์ประกอบของดนตรีประกอบอาจจะไม่ได้โดดเด่นนักแต่ก็สอดรับกับการดำเนินได้อย่างดี

เมื่อมันเดินไปถึงจุดหนึ่ง ฉากหน้าของความเป็นหนังผจญภัย ได้แปรเปลี่ยนหนังดราม่าชั่วขณะ พาตัวละครและคนดูอย่างเราแปรเปลี่ยนอารมณ์ไปสิ้นเชิง เหมือนเราจะได้รับความรู้สึกที่โจเอลรู้สึกไปด้วย กลายเป็นหนังที่ดูเด็กๆ เรื่องนี้ส่งผลถึงหัวใจเราได้ด้วย ไม่เบาแฮะ

เรื่องราวอาจดูบางเบา มีความไม่น่าเชื่อ ดูไม่สมเหตุผลในบางจุด แต่ถือเป็นโลกจัดตั้งที่พอรับได้ในฐานะหนังครอบครัว ที่ทั้งเรื่องตัวเอกต้องเดินทางตลอด พบเจอกับประสบการณ์ใหม่ๆ ตลอด เรียนรู้และปรับเปลี่ยนบางสิ่งในใจ นับไม่ว่าเลวเลยสำหรับหนังจากผู้กำกับที่ยังมีผลงานไม่มากประสบการณ์ยังไม่โชกโชน

 จากที่ไม่ได้คาดหวังกลายเป็นได้พบว่าหนังสนุกเฉยเลยว่ะ!