เมื่อบ้านมิตเชลล์ต้องออกโรงปะทะกับเหล่าหุ่นยนต์ที่หวังยึดครองโลก แถมยังได้โอกาศซ่อมแซมความไม่ลงรอยภายในครอบครัวด้วย
ช่วงวันหยุด เสาร์-อาทิตย์ เป็นช่วงเวลาพักผ่อน เลยคิดว่าจะหาแอนิเมชันที่ดูกันได้ทั้งครอบครัวมาเปิดเพื่อความสนุกสนานบันเทิงอารมณ์ แล้วก็ได้ไปเจอกับแอนิเมชันเรื่องหนึ่ง งานภาพเคลื่อนไหวสวยดีทีเดียว ขณะที่เรื่องราวก็มีความไซไฟ/ครอบครัว/แอคชั่น คนเคล้ากัน ทั้งยังมีสีสันสดใสมากมาย ภาพยนตร์เรื่องนั้นนั่นคือ บ้านมิตเซลล์ปะทะจักรกล ชื่อฝรั่ง The Mitchells vs. the Machines นั่นเองครับ
ผลงานจาก Sony Pictures Animation ที่กำกับโดย Michael Rianda ที่เคยกำกับแอนิเมชันขนาดสั้นมา 2 เรื่อง ซึ่งคงไม่มีใครรู้จัก แต่เขาก็เริ่มมีเครดิตมากขึ้นจากการเขียนบทแอนิเมชันซีรีส์ทางทีวีเรื่อง Gravity Fals ซึ่งเรื่องนี้ เขาก็เขียนบทเช่นกัน โดยมี Jeff Rove ร่วมเขียนและร่วมกำกับ
มาดูกันเรื่องราวของมันนั้นเกี่ยวกับอะไร
เรื่องย่อแอนิเมชัน ‘The Mitchells vs. the Machines’
มันเป็นเรื่องราวของครอบครัวมิตเชลล์ ที่ประกอบด้วย ริค (พากย์เสียงโดย Danny McBride จากหนังเรื่อง The Angry Birds Movie 2, Alien: Covenant และ Up in the Air) ผู้เป็นพ่อที่ชื่นชอบเรื่องการซ่อมแซม ลินดา (พากย์เสียงโดย Maya Rudolph จากหนังเรื่อง Bridesmaids, Grown Ups 2 และกำลังจะได้พากย์เสียงเรื่อง Luca) แม่ที่ชอบทำขนมหน้าตาแปลกๆ เคที่ (พากย์เสียงโดย Abbi Jacobson จากหนังเรื่อง Neighbors 2: Sorority Rising) ลูกสาวคนโตผู้ชื่นชอบในการสร้างคลิปหนังสั้นฮาๆ สนุกๆ จนเริ่มโด่งดังในโซเชียล และอารอน (พากย์เสียงโดย Michael Rianda) ลูกชายคนเล็กที่คลั่งไคล้ไดโนเสาร์ แต่ละคนต่างก็มีบุคลิกและความชอบที่แตกต่าง อ่อ จริงๆ ยังมีเจ้าหมาปักมอนชิจอมเลียหน้าอีกด้วยนะ
วันเก่าๆ พวกเขารักกันมาก เคที่มีความสุขมากกับครอบครัวนี้ แต่เมื่อยิ่งโตขึ้นดูเหมือนความสัมพันธ์ภายในบ้านเริ่มจะเต็มไปด้วยความอึดอัด
วันหนึ่ง เคที่ได้รับจดหมายจากสถาบันดังที่ตอบรับให้เธอเข้าเรียน เธอโคตรดีใจเพราะจะได้หลุดพ้นออกไปจากบ้านหลังนี้เสียที และในวันที่เธอเตรียมตัวจะเดินทาง ก็ได้พบว่า โลกกำลังถูกกองทัพหุ่นยนต์เข้ามาโจมตีและจับตัวมนุษย์ ทุกสิ่งกำลังแปรเปลี่ยนจากหน้าเป็นหลังมือ
ทำให้เคที่และครอบครัวต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อช่วยโลกใบนี้เอาไว้
รีวิวแอนิเมชัน ‘บ้านมิตเชลล์ปะทะจักรกล’
จะว่าไป แอนิเมชั่นเรื่องนี้ก็เหมือนเขียนบทโดยคนกาวๆ ที่เล่าเรื่องของครอบครัวกาวๆ ทั้งยังใส่สีสันกาวๆ ละเลงลงไปในเรื่องราว แต่เนื้อในนั้นมันมีแง่มุมดีดีที่สอดแทรกอยู่
ครอบครัวที่ไม่เข้าใจ ที่ต้องใช้ภารกิจเพื่อซ่อมแซม
แม้ครอบครัวนี้จะมีกันสี่คนกะหนึ่งตัวก็จริง แต่หนังก็ค่อนข้างจะขับเน้นไปที่ปมความขัดแย้งทางใจของพ่อและลูกสาวคนโตมากหน่อย เคที่ เธอดูจะมีความน้อยใจไม่น้อยที่ริคผู้พ่อ ที่ระยะหลังๆ ก็พยายามจะจำกัดการเล่นมือถือของทุกคนในบ้าน ทั้งยังไม่ค่อยเชื่อใจและผลักดันในสิ่งที่เธอชอบ ไม่เหมือนกับวันเก่าที่พ่อมักจะสนับสนุนลูกๆ ทุกทาง ลงมาเล่นด้วยในทุกอย่าง เป็นดังคุณพ่อที่น่าประทับใจ
จนวันที่มนุษยชาติกำลังเผชิญกับหายนะหนัก เมื่อจู่ๆ มีเหล่าหุ่นยนต์จักรกลที่ลุกฮือขึ้นมาจับตัวมนุษย์ไปทิ้ง หมายจะครอบครองโลกนี้แทน ซึ่งก็ดันเป็นวันเดียวกับที่ริคก่อเกิดไอเดียที่จะซ่อมแซมครอบครัวที่กำลังมีรอยร้าวให้กลับมาคืนดี เขาปิ้งไอเดียจะขับรถข้ามเมืองเพื่อพาเคที่ไปยังสถาบัน ซึ่งนั่นก็ทำให้ทั้งครอบครับมิตเชลล์สุดเพี้ยนได้ผจญภัยกอบกู้โลกไปด้วยกัน
หนังแอนิเมชั่นเรื่องนี้ก็เลยเป็นทั้งหนังครอบครัวเล่าเรื่องในสไตล์ผจญภัยผนวกพล็อตเชิงไซไฟเรื่องตลกชวนหัวรวมทุกอย่างอยู่ด้วยกันเลยเป็นไง
เมื่อเทคโนโลยีมีความคิด… แก้แค้นผู้สร้างด้วย
ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวเข้ามาอยู่ในชีวิตประจำวันของมนุษย์เราอย่างมากมาย จนพวกเราแทบจะกลับกลายเป็นทาสของมันไปแล้ว ดูอย่างครอบครัวมิตเชลล์สิ แต่ละคนเอาแต่ง่วนอยู่กับหน้าจอมือถือตัวเอง บนโต๊ะอาหาร พวกเขาแทบไม่สนใจกันเลย เคที่ก็เติบโตขึ้นมากับเทคโนโลยี เธอสนุกกับการถ่ายทำและตัดต่อคลิปวิดีโอด้วยมือถือบ้าง แลปท็อปบ้าง ความใฝ่ฝันของเธอเกี่ยวพันกับเทคโนโลยีอย่างแนบแน่น
เช่นเดียวกับ มาร์ก โบว์แมน (พากย์เสียงโดย Eric André) เศรษฐีซิลิกอนวัลเลย์เจ้าของบริษัทเทคโนโลยีที่คิดค้นมือถืออัจฉริยะ แต่ต่อมา กลับสร้างหุ่นยนต์ขึ้นมาและละทิ้งจนมันน้อยใจ จึงเข้าควบคุมหุ่นทุกตัวและจัดการลบมนุษย์ทั้งมวลไปจากโลก แน่นอนว่า นั่นรวมทั้งเจ้าของหรือผู้ที่สร้างมันด้วย
แม้ว่ามาร์กจะคิดระบบรีเซ็ตไว้แล้ว แต่ก็ดูเหมือนพวกมันจะฉลาดล้ำไปกว่านั้น ขณะเดียวกันก็คงไม่คิดว่า ครอบครัวมิตเชลล์ที่ดูเพี้ยนๆ จะเหลือรอดเป็นมนุษย์กลุ่มสุดท้าย…
หนังฮาน่ารัก โดดเด่นด้านงานภาพ เสริมด้วยเทคนิควิบวับ
บ้านมิตเชลล์ปะทะจักรกล เป็นแอนิเมชันที่นอกจากจะมีลายเส้นและการเคลื่อนไหวที่สมูธ สวยงามชัดเจนและมีความไม่เหมือนใครอยู่ แต่คนสร้างเขาก็ใส่ไอเดียหลายส่วนเข้าไป ไม่ว่าจะเป็นองค์ประกอบวิบๆ วับๆ ที่ทำให้มันดูแซ่บ ดูวัยรุ่น และแตกต่างจากเรื่องอื่นๆ
แต่ที่สำคัญกว่านั้น นอกเหนือจากแง่มุมเรื่องเทคโนโลยีในชีวิตมนุษย์และเรื่องของครอบครัวที่ไม่เข้าใจกันแล้ว ก็ยังใส่มุกน่ารักเข้าไปตลอดเรื่องโดยเฉพาะกับเจ้าหมาน้อยที่แสนรู้และมีบทบาทสำคัญในภารกิจกอบกู้โลกของครอบครัวนี้ โดยรวมมันเป็นมุกที่มีความเป็นการ์ตูนครอบครัว ถึงจะมีความเป็นหนังไซไฟแต่เรื่องราวก็ไม่ได้จริงจังขนาดนั้น เน้นไปที่การแก้ไขปัญหาร่วมกันของครอบครัวเสียมากกว่า
ถ้าการรับชมในแบบอ่านซับไตเติลอาจไม่สร้างอรรถรสเท่าไหร่ ก็ลองดูแบบพากย์ไทยดูนะ
