slider2
slider3
previous arrow
next arrow
Black Panther : Wakanda Forever ที่สุดของการสานต่อตำนานเสือดำ

Black Panther : Wakanda Forever ที่สุดของการสานต่อตำนานเสือดำ

วันนี้จบสิ้นการรอคอยเเล้ว สำหรับใครที่ก่อนหน้านี้ตั้งตารอการมาของ Black Panther : Wakanda Forever วันที่ 9 พฤศจิกายน 2565 คงเป็นดั่งฝันที่กลายเป็นความจริงเเล้ว ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของผลงานอันโดดเด่นเเห่งจักรวานหนังมาร์เวล เป็นภาคต่อของหนังฮีโร่ที่ทรงพลังเเละน่าจับตามองมากที่สุดอีกตัวหนึ่งของมาร์เวล โดยการหวนกลับมาคืนจอครั้งนี้คงเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ เนื่องจากการจากไปอย่างกระทันหันของ ‘เเชดวิด โบสเเมน’ ถึงอย่างนั้น หากเราสังเกตตรงคำว่า ‘Wakanda Forever’ คำนี้คงมิก่อเกิดจากความไม่ตั้งใจเป็นเเน่ ทางมาร์เวลคงต้องการสื่อถึงการมีอยู่ของภาพยนเรื่องนี้อีกยาวนาน โดยบางฉากในภาคล่าสุดคงเปรียบเสมือนการต่อลมหายใจให้กลับมาเป็นปกติอีกครั้งของตัวละครอย่าง ‘เเบล็ค เเพนเตอร์’ ซึ่งทางเราคงไม่เปิดเผยเนื้อหาอันใดเกี่ยวกับภาพยนตร์ เนื่องจากเป็นรักษาอรรถรสที่มีต่อตัวภาพยนตร์

อย่างไรก็ดี Black Panther: Wakanda Forever เป็นเรื่องราวของราชินีรามอนด้า, ชูรี, เอ็มบาคู, โอโคเย, โดรา มิลาเจ พวกเขาทั้งหมดต่างร่วมกันต่อสู้ เพื่อปกปักรักษาประเทศของพวกเขาจากการเเทรกเเซงทางอำนาจหลังการสิ้นพระชนม์ของกษัตริย์ทีชัลล่า ท่ามกลางชาววาคานด้าต่างบากบั่นดิ้นรนอย่างหนักหน่วงที่จะก้าวต่อไป ดังกล่าวนี้ ส่งผลให้เหล่าฮีโร่ต่างออกมาร่วมมือกันผ่านการช่วยเหลือเเละสนับสนุนของวอร์ด็อกนาเคียเเละเอเวอเร็ตต์ รอสส์ ในการสร้างเส้นทางใหม่ใหกับวานคานด้า

เชื่อว่าหากเราชมตั้งเเต่ต้นจนจบ คงมีความรู้สึกไม่ต่างกันมากนักว่า ฉากต่อสู้ในภาคนี้ค่อนข้างมีน้อยมาก มากเสียจนเเอบขัดใจอยู่เหมือนกัน เเต่หากมองกันในอีกมุมหนึ่งก็พอเข้าใจได้ว่าทำไมคนเขียนบทถึงเลือกเขียนออกมาเเบบนี้ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะตัวภาพยนตร์มีรายละเอียดต่าง ๆ ให้เล่าเยอะ เเต่ถึงอย่างนั้น กางวางโครงเรื่องโดยภาพก็ถือว่าทำออกมาได้ดีเลยทีเดียว อย่างน้อยการดำเนินเรื่องก็มิได้ทำให้เกิดความรู้สึกขาดตกบกพร่องอะไร การนำเสนอก็ตรงประเด็นไม่เวิ่นเว้อชวนน่าเบื่อ เเต่ที่ชอบสุดติ่งเลยคือ การได้เห็นตัวร้ายสุดเท่อย่าง เนมอร์ นี่เเหละ ความโหดของเขายังติดตาไม่เลือนลางเลยล่ะ

ท้ายที่สุดเเล้ว Black Panther : Wakanda Forever การดำเนินเรื่องส่วนใหญ่คงเน้นไปที่การอาลัยถึงนักเเสดง ‘เเชดวิด โบสเเมน’ ซึ่งเปรียบเสมือนเเกนหลักเเละหัวใจของเรื่อง โดยฉากการสดุดีถึงกษัตริย์คนเก่ามีความยาวมากถึง 160 นาที ทำให้ทุกคนที่ได้ชมหวนนึกถึงภาพเก่า ๆ ทั้งหมดที่เคยเกิดขึ้นในอดีต เหลือทิ้งไว้เพียงความทรงจำอันทรงคุณค่าในปัจจุบันเท่านั้น นับเป็นความโดดเด่นที่เเตกต่าง เป็นการวางเเนวทางเฉพาะที่ถ่ายทอดออกมาได้อย่างดีเยี่ยมเลยทีเดียว

เเต่ที่ว้าวเเบบสุด ๆ คงเป็นในส่วนของ CG ที่มีความเนี๊ยบเนียนทุกขั้นตอนสมเเล้วที่เป็นผลงานของประเทศฟากฝั่งตะวันตก เพราะทีมงานที่อยู่เบื้องเก็บรายละเอียดงานได้อย่างน่าทึ่ง ไม่มีตกหล่นเลยเเม้เเต่น้อย เเต่บางฉากก็ต้องบอกว่าเเอบมืดนิดหน่อยน่าจะปรับให้สว่างอีกนิดนึงหากเป็นไปได้ เช่น ในกรณีของอาณาจักรใต้น้ำ เป็นต้น ทว่าโปรดักชั่นต่าง ๆ ทำออกมาได้ค่อนข้างตราตรึงใจสมการรอคอยมาอย่างยาวนาน ผนวกกับเพลงประกอบที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่เคยคาดไว้ มากกว่านั้น ยังคว้านักร้องสาวในตำนานอย่าง Rihanna มาร่วมร้องเพลงประกอบภาพยนต์เรื่องนี้ ในบทเพลง Lift Me Up ด้วยเช่นเดียวกัน

ด้วยเหตุนี้ หากใครยังไม่เคยชม ก็อยากวอนให้ชมกันสักครั้ง เชื่อภาพยนตร์เรื่องนี้คงให้อะไรมากกว่าที่คุณคิด โดยเฉพาะการได้สัมผัสถึงความโศกเศร้าจวนเจียน เเต่กลับมิได้ปรากฎความสิ้นหวังอยู่ปลายอุโมงค์เเต่อย่างใด

สามารถอ่านบทความจากเราเพิ่มเติมได้ที่

https://uhdmax.net/category/movie-news/?swcfpc=1

inwiptv